บ่อนพนัน ผับเถื่อน อบายมุขผิดกฎหมาย ‘พรรคก้าวไกล’ แก้ได้โดยยุบ ‘บก.น.1-9’ ‘บช.ตร.ภาค’
บ่อนพนัน ผับเถื่อน อบายมุขผิดกฎหมาย “พรรคก้าวไกล”แก้ได้โดยยุบ“บก.น.1-9” “บช.ตร.ภาค”
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการกรมการปกครอง ได้นำ เจ้าพนักงานกระทรวงมหาดไทยพร้อมกำลัง อส. ไปจับ ผับเถื่อน แหล่งอบายมุขผิดกฎหมายทำลายสังคมหลายแห่งในเขตกรุงเทพมหานคร
มีทั้งพื้นที่ สน.บางมด และ สน.ปทุมวัน
โดยไม่ได้บอกให้ตำรวจหน่วยใดรู้ไม่ว่าเป็นผู้มียศชั้นนายพลหรือระดับใด!
เพราะ ไม่ไว้ใจตำรวจผู้ใหญ่ ว่าใครจะส่งสัญญาณบอกให้ผู้กระทำผิดกฎหมายรู้ตัวทำให้จับไม่ได้บ้างหรือไม่?
ทั้งที่การตรวจตราจับกุมแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นงานในหน้าที่โดยตรงของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ผบช.น.เป็นทั้งนายทะเบียนตาม พ.ร.บ.สถานบริการ และเจ้าพนักงานผู้รักษากฎหมายใน กทม.
มีตำรวจสารพัดหน่วยเป็นมือไม้ในการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่ 88 สถานี และกองบังคับการ 1-9 มีกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและศูนย์สืบสวน เป็นหน่วยขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการ
มีสำนักงานใหญ่โตโอ่อ่าที่เรียกกันว่า “กองบัญชาการตำรวจนครบาล”
ใช้เงินงบประมานจากเงินภาษีแต่ละปีมากมายหลายร้อยหรือนับพันล้านบาท
การจับ “ผับเถื่อน” ในพื้นที่ สน.ปทุมวันเมื่อคืนวันเสาร์ ที่ตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติห่างไปไม่ถึง 5 กม. ปรากฏภาพที่ สุดอนาถ คือ
มี รถยนต์ตำรวจสายตรวจ จอดอยู่หน้าผับเถื่อนแห่งนั้นในวันและเวลาที่ฝ่ายปกครองเข้าจับกุม
พบ ตำรวจในเครื่องแบบห้าหกคน กำลังนั่งล้อมวง กินลาบเป็ด กันอย่างเอร็ดอร่อย
พลันที่เห็นกำลังฝ่ายปกครองจอดรถและกรูกันเข้าไปในผับ ตำรวจที่กำลังนั่งกินลาบอยู่ก็แตกฮือ ลุกขึ้นรีบวิ่งแยกย้ายกันไปคนทิศละทาง!
สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 รายการ ข่าวสามมิติ ได้นำเสนอภาพเคลื่อนไหวให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจน
เป็นภาพที่ดูแล้วรู้สึก อนาถใจ ปน เศร้าใจ ต่อพฤติกรรมของตำรวจไทยที่เกิดขึ้นและเห็นเช่นนั้น
เป็นเรื่องที่รู้กันดีทั่วไปว่า บ่อนพนัน ผับเถื่อน และแหล่งอบายมุขทุกประเภทในประเทศไทยล้วนต้อง จ่ายส่วย หรือ ความรัก ให้ตำรวจผู้ใหญ่ในทุกหน่วยและทุกระดับที่รับผิดชอบแทบทั้งสิ้น
ผู้ประกอบการคนใดอิดออดไม่จ่าย หรือแค่ จ่ายช้า, แสดงความรักไม่ตรงเวลา ก็จะถูกเจ้านายสั่งให้ไปจับ โดยมิชักช้า ดำเนินคดีตาม ป.วิ อาญา อย่างเคร่งครัดทันที!
ตำรวจยศจ่าดาบที่ทำหน้าที่สายตรวจทุกคนต่างรู้ดีว่า บ่อนพนันและผับบาร์ทุกแห่งทั่วไทย ล้วนมีตำรวจผู้ใหญ่หลายระดับคอยคุ้มครอง
โดย นายพลตำรวจแทบทุกคน ได้รับประโยชน์ในรูปของ ส่วยรายเดือน ที่หัวหน้าสถานีพื้นที่นำไปส่งให้ใน วันประชุมประจำเดือน ของทุกหน่วย
ยิ่งมีหน่วยงานและตำแหน่งนายพลตำรวจมากเท่าใด การรีดส่วยก็จะยิ่งรุนแรงและแพงขึ้นเท่านั้น
ตำรวจผู้น้อยที่เรียกกันแบบทหารว่า ชั้นประทวน ได้แต่นั่งมองตำรวจผู้ใหญ่ รับส่วย กันตาปริบๆ
เพราะระบบการปกครองตามชั้นยศและวินัยแบบทหาร ทำให้การต่อต้านหรือขัดขืนพฤติกรรมทุจริตของผู้บังคับบัญชา ไม่สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะคิดร้องเรียนไปหน่วยงานใด!
แม้แต่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. ก็พึ่งอะไรไม่ได้!
ใครฝืนต่อสู้ บทสรุปในที่สุดก็ต้อง ลาออก จากความเป็นตำรวจไปประกอบอาชีพอื่นด้วยกันทั้งสิ้น
ฉะนั้น การแก้ปัญหาตำรวจ จึงต้องเริ่มต้นด้วยการ “เลิก ลด” การปกครองแบบมีชั้นยศและวินัยแบบทหารในหน่วยงานที่ไม่จำเป็น เช่น งานสอบสวน แพทย์ พยาบาล งานพิสูจน์หลักฐาน การศึกษา ฝ่ายอำนวยการ ฯลฯ
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีอิสระในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพของตน
ทุกคนต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “ตำรวจ” คือบทบาทหน้าที่ และไม่ได้มีเฉพาะตำรวจแห่งชาติ
เจ้าพนักงานกระทรวงทบวงกรมใดที่มีหน้าที่รักษากฎหมายในความรับผิดชอบ ก็ล้วนเป็น “ตำรวจ” ด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง กรมทางหลวง กรมขนส่ง กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร และอีกมากมาย ล้วนแต่คือตำรวจไม่มียศแบบทหาร
แต่เขาทำงานรักษากฎหมายได้ดีกว่า “ตำรวจแห่งชาติ” ได้อย่างไร
นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีหน่วยงานที่เรียกว่า กองบังคับการ และกองบัญชาการทั้งนครบาลและภูมิภาคคล้ายกองทัพภาคที่มีเพียงสี่ภาค
แต่ กองบัญชาการตำรวจพื้นที่มีถึง 10 ภาค ยศพลตำรวจโทเช่นเดียวกับแม่ทัพภาค
ทำให้ สายการบังคับบัญชาของตำรวจยืดยาว เต็มไปด้วยคำสั่งและนโยบาย การประชุมต่างๆ มากมาย ไม่สอดคล้องกับสภาพการทำงานในแต่ละพื้นที่อำเภอและจังหวัด
ตำรวจพลเรือนไม่มีการแบ่งเป็น “ชั้นสัญญาบัตร” และ “ชั้นประทวน” ใช้ บทบัญญัติทางวินัยแบบทหาร ที่เป็นอุปสรรคต่อการรักษากฎหมายต่างไปจากตำรวจแห่งชาติ
เจ้านายสั่งไม่ให้จับหรือไม่ให้ไปตรวจตราการกระทำผิดกฎหมายอะไร ก็ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืน
แต่ละคนจึงได้แต่ยืนดูตำรวจผู้ใหญ่ รับส่วย
โดยตนเองได้แต่รอ ความซวย ว่าจะมาถึงไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งสามารถพบเห็นตัวอย่างได้ในกรณีที่ฝ่ายปกครองจับผับเถื่อนปทุมวันเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
ปัญหาตำรวจไทยขณะนี้ เห็นมีแต่ พรรคก้าวไกล เท่านั้นที่จะแก้ไขและปฏิรูปได้อย่างแท้จริง
แก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ยุบ “บช.ตำรวจภาค” และ “กองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9” ลงทั้งหมด
ประหยัดทั้งเงินงบประมาณแต่ละปีได้จำนวนมหาศาล และจะทำให้การรักษากฎหมายในทุกพื้นที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
การ “รีดส่วย” จาก “หน่วยเหนือ” จะลดลงทันทีกว่า 70 เปอร์เซ็นต์.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 3 ก.ค. 2566