กฎหมายป้องกันตำรวจ ‘รีดทรัพย์’ จับคนเรียกค่าไถ่ ‘ส่งส่วย’ สร้างความร่ำรวยให้ ตร.ผู้ใหญ่
กฎหมายป้องกันตำรวจ ‘รีดทรัพย์’ จับคนเรียกค่าไถ่ ‘ส่งส่วย’ สร้างความร่ำรวยให้ ตร.ผู้ใหญ่
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ระยะนี้เรื่องคดี “นายตู้ห่าว” ยังเป็นประเด็นให้ผู้คนเมาธ์กันด้วยความสงสัยข้องใจว่า สุดท้าย พนักงานอัยการ
โดย “อัยการสูงสุด” จะสั่งฟ้องและสามารถพิสูจน์การกระทำผิด อย่างสิ้นสงสัย ให้ศาลพิพากษาลงโทษได้ในข้อหา “สมคบ” ค้ายาเสพติดหรือไม่?
เพราะพยานหลักฐานที่จะยืนยันการกระทำผิดอย่างชัดเจนยังเป็นปัญหา เนื่องจากความล่าช้าในการเก็บรวบรวมของตำรวจหลังเกิดเหตุใหม่ๆ
รวมทั้งในระหว่างดำเนินคดี ก็มี ตำรวจทั้งระดับรองผู้บังคับการลงมาจนถึงจ่าดาบ เข้าไปเกี่ยวข้องกับ การกระทำความผิด และ ช่วย หรือ พยายามช่วยผู้ต้องหา กันสารพัดรูปแบบและวิธีการตาม นิสัยของตำรวจที่เห็นเงินเป็นใหญ่
การกระทำผิดอาญาต่อรัฐเหล่านี้ สุดท้ายจะมีใครต้องติดคุกติดตะรางบ้างหรือไม่ ประชาชนและสื่อมวลชนต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป?
นี่ยังไม่ได้นับรวมไปถึง “แก๊งตำรวจ” ที่ช่วยกัน “ล้มคดี” กรณีร่วมกับเมียที่เป็นตำรวจ “พยายามฆ่า” และ “เผาสวนงู” ที่ ภูเก็ต เมื่อปี ๒๕๕๕
ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบตามที่อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายวัชระ เพชรทอง ได้ไปยื่นคำร้องต่อ “อัยการสูงสุด” ไว้ให้ดำเนินการสอบสวนตามพยานหลักฐานในคลิปที่ปรากฏขึ้นใหม่
ปัญหาตำรวจไทยในปัจจุบันได้พัฒนาและสะสมปัญหามาอย่างต่อเนื่อง จน หลายเรื่อง ผู้มีอำนาจและคนส่วนใหญ่มองไม่เห็นและไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไร แล้ว อ
ย่างเช่น ปัญหาการ “รีดส่วย” และ “ส่งส่วย” ที่หน่วยงานตำรวจเป็น “องค์กรต้นแบบ” กระทำกันมานานจนแทบจะกลายเป็นระเบียบแบบแผนการปฏิบัติราชการอย่างหนึ่งไปแล้วก็ว่าได้!
ทำให้หลายหน่วย “เลียนแบบ” จาก “เจ้าตำรับ” ต้นฉบับ บ้าง เช่นกรณีที่เกิดกับกรมอุทยานซึ่งกำลังถูกผู้คนกล่าวขานอย่างอื้ออึงในสังคมปัจจุบัน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตำรวจไทยสามารถรีดส่วยจากผู้กระทำผิดกฎหมายไป ส่งส่วยให้ตำรวจผู้ใหญ่ ได้ ก็ด้วยเงื่อนไข “การจับกุม” และ “ผูกขาดอำนาจสอบสวน”
“ทุกคดี” ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ “หัวหน้าหน่วยการปกครองในท้องที่”
แม้กระทั่ง พนักงานอัยการ ผู้มีหน้าที่ตรวจพยานหลักฐานและนำคดีไปฟ้องพิสูจน์การกระทำผิดต่อศาล
แต่ละวันก็ได้แต่นั่งอ่าน “สำนวน” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็น”นิยายสอบสวน” อยู่จำนวนเท่าใด?
สังคมไทยในปัจจุบัน ในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปี มีการกระทำผิดกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเกิดขึ้นจริงจำนวนมากเพียงใด ไม่มีใครบอกได้แน่ชัด?
เพราะหากการกระทำผิดใดที่ตำรวจตรวจไม่พบ ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่จับ ไม่ว่าจะเพราะรับส่วยสินบนหรือเหตุใด
ก็ไม่มีการดำเนินคดีอะไรให้ปรากฏ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการกระทำผิดต่อรัฐ เช่น การขนค้ายาเสพติด การทำผิดกฎหมายการพนัน สถานบริการ พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ร.บ.จราจร ฯลฯ
รวมไปถึงคดีที่มีประชาชนเป็นผู้เสียหาย แต่เบื่อหน่ายที่จะไปแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดี หรือแม้แต่มีผู้ไปแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ “ออกเลขคดีอาญา” เข้าสารบบให้
เพื่อที่จะได้ไม่โดนตำรวจผู้ใหญ่ ด่าว่า เป็นต้นเหตุทำให้สถิติคดีอาญาในพื้นที่สูงขึ้น
รวมทั้งต้องยุ่งยากในการสอบสวนพิมพ์สำนวนเสนอให้พนักงานอัยการ ตรวจสอบ และสั่งคดีเพื่อให้เป็นที่ยุติ และ “ยุติธรรม” ตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย!
นอกจากนั้นยังมีกรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดต่อรัฐ แล้วนำตัวมา “เจรจาต่อรอง” ได้ “เงิน” หรือ “ทรัพย์สิน” จนเป็นที่พอใจของ ตำรวจผู้ใหญ่ แล้วปล่อยตัวไปก็มากมาย!
โดยเฉพาะ กฎหมายยาเสพติดที่วิปริต เปิดช่องให้ตำรวจผู้จับมีอำนาจนำตัวผู้ต้องหาไปเจรจาต่อรองเพื่อการสืบสวนถึงผู้ค้ารายใหญ่ได้เป็นเวลา สามวัน!
เป็น “สามวันอันตราย” ที่ส่งผล เสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างยิ่ง!
พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ ที่ผ่านสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ จะมีผลใน ๑๒๐ วัน คือ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
เป็นกฎหมายที่จะก่อให้เกิดการ ปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ของไทยครั้งใหญ่
อาจกล่าวได้ว่าในรอบร้อยปี ไม่มีกฎหมายฉบับใดที่จะส่งผลให้เกิดการปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรมอาญาได้เท่ากับ กฎหมายที่ก้าวหน้าและเป็นสากล เช่นฉบับนี้
เนื้อหาสำคัญที่ตำรวจ เจ้าพนักงานทุกหน่วยและประชาชนทุกคนต้องสนใจ ได้แก่
มาตรา ๒๒ ในการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับ และควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวน หรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้บันทึกเหตุนั้นเป็นหลักฐานไว้ในบันทึกการควบคุม
การควบคุมตัวตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้งพนักงานอัยการและนายอำเภอในท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที สำหรับในกรุงเทพมหานครให้แจ้งพนักงานอัยการและผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง หากผู้รับแจ้งเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้ผู้รับแจ้งดำเนินการตามมาตรา ๒๖ ต่อไป
มาตรา ๒๖ เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ยุติการกระทำนั้นทันที
(๑) ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๒๔
(๒) พนักงานอัยการ
(๓) ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง หรือนายอำเภอ
(๔) พนักงานสอบสวนหรือพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
(๕) คณะกรรมการ อนุกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับมอบหมาย
(๖) บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย
มาตรา ๓๑ ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น นอกจากพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ให้พนักงานฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่ พนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่งตั้งแต่ปลัดอำเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ เป็นพนักงานสอบสวน มีอำนาจสอบสวนตาม พระราชบัญญัตินี้และความผิดอื่นที่เกี่ยวพันกัน……..
ในกรณีที่การสอบสวนโดยหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่พนักงานอัยการ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแจ้งเหตุแห่งคดีให้พนักงานอัยการทราบเพื่อเข้าตรวจสอบและกำกับการสอบสวนทันที
เมื่อถึงวันกฎหมายมีผลคือ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
เจ้าพนักงานของรัฐที่มีอำนาจจับกุมทุกหน่วย ไม่ว่าจะเป็นการจับตามหมาย หรือในกรณีกระทำความผิดซึ่งหน้า
ถ้ามีการทำร้าย หากไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส มีโทษตามมาตรา ๓๕ จำคุกถึงสิบห้าปี
หากเป็นกรณีบาดเจ็บสาหัส มีโทษตามวรรคสอง จำคุกถึงยี่สิบห้าปี
ถ้าเป็นกรณี “ย่ำยีศักดิ์ศรีความมนุษย์” คือ พฤติกรรมที่คนทั่วไปไม่ทำกัน มีโทษตาม มาตรา ๓๖ มีโทษ จำคุกถึงสามปี
ผู้ใดพบเห็นการกระทำ สามารถไปแจ้งต่อ “นายอำเภอ” หรือ “อัยการจังหวัด” ให้สอบสวนดำเนินคดีได้ทันที
หากเป็นกรณีเหตุเกิดใน กรุงเทพมหานคร ให้แจ้งต่อ อธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินการสอบสวน
“กระบวนการยุติธรรมอาญา” ของไทย จะไม่ตกเป็น“เครื่องจักรรีดไถ” สร้างความร่ำรวยให้ “ตำรวจผู้ใหญ่” หรือเจ้าพนักงานของรัฐหน่วยใดอีกต่อไป.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 16 ม.ค. 2566
ขอบคุณภาพประกอบ : ข่าวเวิร์คพอยท์ 23