ยื่นอุทธรณ์คดีลูก’ชายโดดตึกศาล’ถูกแทงตายขอศาลเรียก’ตง-พยานปากเอก’มาสืบยันไม่ป่วยจริง
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 13.30น.วันที่ 20 ธ.ค.2561 นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความของครอบครัวทัฬหสุนทร พร้อมด้วยนางเรวดี ทัฬหสุนทร ภรรยาของนายศุภชัย ทัฬหสุนทร บิดาของนายธนิต หรือ เต้-ทัฬหสุนทร อดีตนักศึกษาอุเทนถวายที่เสียชีวิตจากการถูกแทง และศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยเป็นเหตุให้นายศุภชัยคิดสั้นกระโดดตึกศาลอาญาลงมาเสียชีวิต ได้เดินทางมา ยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีหมายเลขดำที่ อ.2103/2561 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา โจทก์ พร้อมด้วยนางเรวดี ทัฬหสุนทร โจทก์ร่วมยื่นฟ้องนายณัฐพงษ์ หรือโจ้- เงินคีรี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันพกพาอาวุธฯ
โดยคำร้องอุทธรณ์สรุปประเด็นได้ว่า โจทก์ไม่ได้นำตัวนายพีรวิชญ์ หรือ ตง- ปุตตะจินารักษ์ มาเบิกความต่อศาล แต่ก็ยังมีคำให้การของนายพีรวิชญ์ในชั้นสอบสวนที่เพิ่งให้การหลังเกิดเหตุไม่เกิน 2 ชั่วโมง ไม่มีการเสริมแต่ง มีการบันทึกโดยเจ้าพนักงานตำรวจ บอกกับนายศุภชัยกับนางเรวดีด้วยว่าจำเลยเป็นคนแทง จากนั้นก็ชี้ภาพถ่ายได้ถูกต้องพร้อมยืนยันตามคำให้การเดิม ต่อมานายพีรวิชญ์ก็ยังสามารถชี้ตัวผู้ต้องหาขณะยืนปะปนกับคนอื่น 6 คนได้ถูกต้อง ซึ่งเท่ากับพยานปากนายพีรวิชญ์ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึง 3 ครั้ง ขณะที่ให้การก็ไม่มีอาการมึนเมา โดยนายพีรวิชญ์เองก็ยื่นห่างที่เกิดเหตุไม่เกิน 1 เมตร ได้ยินเสียงพูดของเพื่อนหญิงของจำเลยพูดกับผู้ตายได้ชัดเจน อีกทั้งยังมีพยานที่เบิกความถึงแสงสว่างในที่เกิดเหตุมีจำนวนเพียงพอ จำนวนหลายปาก อีกทั้งตอนชี้ตัวมีบิดาของนายพีรวิชญ์มาอยู่ด้วยขณะชี้ตัว คำให้การจึงน่าเชื่อถือ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อเท็จจริงมีการรับกันว่า จำเลยกระโดดถีบ ต่อยนายธนิต ต่อมามีการแทงกัน พยานจึงต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วม เนื่องจากการแทงกันเกิดขึ้นขณะจำเลยกระโดดถีบและต่อย โดยมีพยานบุคคลหลายปากก็เบิกความว่าเห็นถีบและต่อย ทั้งยังมีประจักษ์พยานในเหตุการณ์เห็นตอนทำร้ายผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่ได้เป็นการเบิกความขัดแย้งกับนายพีรวิชญ์ แต่เป็นการมองคนละมุมกัน โดยนายพีรวิชญ์ยืนในจุดที่เห็นจำเลยควักมีดมาแทงนายธนิตผู้ตาย แม้ที่เกิดเหตุจะไม่ได้ภาพทีวีวงจรปิด แต่ก็มีนายพีรวิชญ์เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ส่วนเสื้อของจำเลยไม่มีความจำเป็นต้องเอามาตรวจดีเอ็นเอ เพราะมีการเปลี่ยนเสื้อแล้วก่อนถูกตำรวจจับ กรณีนี้เป็นช่วงเทศกาลมีคนเห็นเหตุการณ์หลายคน แต่ไม่กล้ามาเป็นพยานก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องจากนายพีรวิชญ์เห็นเหตุการณ์ชัดเจน
โดยในคำร้องยังมีประเด็นไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานนายพีรวิชญ์ โดยอ้างเหตุว่าป่วยทางจิต มีการยื่นใบรับรองแพทย์ แล้วเอามายื่นศาลห่างจากวันตรวจถึง 5 เดือน แพทย์ก็ไม่ได้ลงความเห็นว่านายพีรวิชญ์มาเบิกความไม่ได้ แต่ขอให้ชะลอการเบิกความไว้ก่อน จนกว่าอาการจะดีขึ้น ทั้งนายพีรวิชญ์เองมีประวัติก่ออาชญากรรม 8 ครั้งล่าสุดวันที่ 13 ต.ค. 2561 ซึ่งแสดงว่านายพีรวิชญ์ไม่ป่วยจริง จึงขอให้สืบพยานเพิ่มเติม โดยขอให้ออกหมายเรียกคำให้การแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่านายพีรวิชญ์ยังสามารถมาให้การได้
พร้อมกันนี้ก็ได้ทำคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์หมายเรียกคำให้การของแพทย์หญิงธนียา และนายเกริกไกร (สงวนนามสกุล) จากกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มาประกอบพิจารณาสั่งให้มีการสืบพยานเพิ่มเติมปากนายพีรวิชญ์ ปุตตะจินารักษ์ เพื่อประกอบพิจารณาพิพากษาคดีนี้ และขอให้ศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (1) เรียกนายพีรวิชญ์มาสืบเองหรือสั่งศาลชั้นต้นสืบ แล้วให้ส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไป
โดยนายอนันต์ชัย กล่าวภายหลังยื่นอุทธรณ์ว่า วันนี้ตนมายื่นอุทธรณ์คดี เชื่อและหวังว่าดวงวิญญาณของนายศุภชัย จะได้รับรู้ ตนอยากบอกกับนายศุภชัยว่าไม่ต้องห่วง ตนและทีมงานได้ทำคำอุทธรณ์เสร็จแล้ว ถ้าหากว่าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจเห็นควรให้สืบพยานเพิ่มเติมคดีนี้มีสนุกแน่ คนที่ไปยื่นใบรับรองและออกใบรับรองแพทย์น่าจะมีปัญหา โดยคำร้องอุทธรณ์ของเราในวันนี้จะถูกนำไปประกอบกับที่พนักงานอัยการได้ยื่นอุทธรณ์ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีเนื้อหาการยื่นอุทธรณ์ข้อกฎหมายในประเด็นลักษณะเดียวกัน ตอนนี้เหลือเอกสารอยู่อีก 1 ชิ้นที่อยู่ระหว่างการประสานผ่านทางสำนักงานอัยการสูงสุดไปยังกองวินัยของ สตช. เพื่อยื่นขอประกอบอุทธรณ์ในภายหลังอีก โดยหลังจากได้เอกสารหน้าที่ของตนก็จะจบลง ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับศาลอุทธรณ์จะพิจารณาใช้ดุลพินิจทำคำพิพากษา
เมื่อถามว่าหากศาลอุทธรณ์พิจารณาให้สืบพยานปากนายพีรวิชญ์ พยานยังมีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่ เนื่องจากเวลาผ่านไปนาน และเคยไม่มาเบิกความในชั้นพิจารณา นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ตนมั่นใจ เพราะจากที่ทีมงานตนได้ร่วมกันเขียนอุทธรณ์ อีกทั้งคดีนี้ยังมีระดับอธิบดี รองอธิบดีอัยการศาลสูงร่วมกันเขียนอุทธรณ์ ต่อไปก็ต้องเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณา เชื่อว่าถึงศาลอุทธรณ์ไม่สั่งให้สอบพยานปากนายพีรวิชญ์ ศาลอุทธรณ์ก็สามารถพิจารณาถึงคำให้การของนายพีรวิชญ์ที่เคยให้การไว้ถึง 3 ครั้ง รวมถึงพยานที่ยืนยันถึงแสงสว่างและระยะทางที่มีการชกต่อยกันในที่เกิดเหตุ ซึ่งพยานเหล่านี้ได้ปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้นแล้ว พอมาชั้นศาลอุทธรณ์ คำร้องอุทธรณ์เราเขียนชี้ให้ศาลอุทธรณ์เห็นชัดอย่างละเอียด โดยใช้ทีมงาน 4 คน ใช้เวลาเขียน 1 เดือน
ภายหลังการให้สัมภาษณ์ นางเรวดีได้เดินไปยังจุดเกิดเหตุที่นายศุภชัยกระโดดตึกศาลอาญา นั่งพนมมือพร้อมกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตานองหน้าว่า “ขอดวงวิญญาณพี่ศุภชัยได้รับรู้ หนูมาอุทธรณ์คดีสู้ให้ลูกกับพี่แล้ว ขอให้รู้ว่าหนูสู้ไม่ยอมแพ้”
สำหรับคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2559 ว่าจำเลยกับพวกซึ่งเป็นเยาวชน (ที่แยกการพิจารณาในศาลเยาวชนฯ) ได้ร่วมกันกระทำความผิด คือพกอาวุธมีดปลายแหลมติดตัว ร่วมกันชกต่อยนายธนิต ผู้ตายบริเวณใบหน้าและลำคอหลายครั้ง พร้อมร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงนายธนิตหลายครั้ง คมมีดถูกไหล่ซ้ายด้านบนแผลยาว 3 เซนติเมตร ลึกทะลุผ่านเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อไหล่ซ้าย ทะลุเข้าเส้นเลือดแดงบริเวณไหปลาร้าข้างซ้าย เป็นเหตุให้นายธนิตได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปในวันที่ 23 ก.ค. 2561