‘ไสลเกษ –ประธานศาลฎีกา’เปิด4โครงการศาลช่วยลดภาระประชาชนฝ่าภัยโควิด พร้อมยกระดับการคุ้มครองสิทธิขอให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณารอการกำหนดโทษ

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2563  ที่ห้องประชุมใหญ่ สำนักประธานศาลฎีกา นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ศาลยุติธรรมห่วงใย ฝ่าภัยโควิด” โดยมีการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (วิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ไปยังศาลทั่วประเทศ 270 แห่ง

 

โดย นายไสลเกษ กล่าวปาฐกถาถึงที่มาและลักษณะของโครงการ ว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงัก ประชาชนตกงาน ไม่มีรายได้เพียงพอ อยู่อย่างลำบาก ภาครัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือ ศาลยุติธรรมก็อยู่นิ่งไม่ได้ เพื่อให้ผู้ใช้บริการควรได้ลดภาระตามสมควร จึงเป็นที่มาของโครงการในครั้งนี้ ประกอบด้วย

 

โครงการที่ 1 การงดหรือลดภาระค่าใช้จ่ายของคู่ความในการดำเนินคดี เช่น การให้ลดค่าส่งหมาย หรือค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ลง 20 เปอร์เซ็นต์, คืนค่าฤชาธรรมเนียมเป็นกรณีพิเศษ, การใช้กระบวนวิธีพิจารณาทางอิเล็กทรอนิกส์-ออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์และเว็บไซต์, การนัดคดีโดยเหลื่อมเวลากัน ลดไม่ให้คนมาศาลพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ไม่กระจุกตัวรอที่ศาล รักษามาตรการจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย, มีจุดบริการ One Stop Service และ Drive thru รับคำร้องโดยไม่ต้องลงจากรถ, ส่งเสริมการฟ้องทาง e-Filng มากขึ้น ซึ่งไม่ยากลำบาก มีเจ้าหน้าที่แนะนำ ลดค่าใช้จ่ายได้มาก, การตรวจสอบข้อมูลโดยใช้แอปพลิเคชั่น และการใช้โปรแกรมคัดถ่ายคำพิพากษา เป็นต้น

 

โครงการที่ 2 การพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยออนไลน์ในศาลยุติธรรม เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดเวลามาศาล เมื่อไกล่เกลี่ยสำเร็จศาลรับรองให้ หรือศาลทำคำพิพากษาตามยอม บังคับคดีให้ รวมถึงพร้อมไกล่เกลี่ยก่อนการฟ้องคดี ยิ่งลดค่าใช้จ่าย แค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถไกล่เกลี่ยได้ จบด้วยความเข้าใจและนำมาซึ่งสันติ ได้สิ่งที่คนพอใจ และตนขอร้องให้แต่ละศาลรายงานความคืบหน้ามาที่ส่วนกลาง เพื่อประเมินผล จะช่วยให้เราพัฒนาประสิทธิภาพโครงการนี้ในอนาคต

 

โครงการที่ 3 คุ้มครองสิทธิเสรีภาพและลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น ถือเป็นปีทองของประชาชนที่จะปล่อยชั่วคราวให้มากที่สุด เนื่องจากคดีคนยากจนมากขึ้น ก่อนหน้านี้ศาลมีการนำร่องไปสัมภาษณ์คนที่ถูกคุมขังในเรือนจำถึงเหตุที่ไม่ประกันตัว ทั้งที่เขาอยากประกันตัว เราจึงทำแบบยื่นคำร้องใบเดียวไม่ต้องมีหลักทรัพย์ประกัน และทำแบบประเมินความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันคณะทำงานปรับปรุงแบบประเมินให้ง่ายขึ้น สามารถทำเสร็จได้ภายใน 12 นาที ขอร้องให้ผู้พิพากษาศึกษาคำแนะนำเรื่องนี้จากศาลนำร่องทุกภาค ได้แก่ ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ศาลจังหวัดขอนแก่น ศาลจังหวัดมหาสารคาม ศาลจังหวัดนาทวี ศาลจังหวัดภูเก็ต ศาลจังหวัดธัญบุรี ศาลจังหวัดลำพูน และศาลอาญาธนบุรี

 

นายไสลเกษ กล่าวถึงผลการดำเนินโครงการนี้ที่ผ่านมาว่า สามารถนำคนยากจนออกจากคุกระหว่างรอพิจารณาได้กว่า 3,000 คน ขณะที่ช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด ก็ใช้การสัมภาษณ์และทำแบบประเมินออนไลน์ไปในคุก ถ้าหากใช้ทั่วประเทศ ผู้ต้องขังในคดีเล็กน้อยจะได้รับโอกาส คุกก็จะว่างขึ้น ไม่แออัด ส่วนจำเลยที่ไม่สมควรได้รับโทษจำคุก ก็มีแนวทางพิพากษาด้วยการให้คุมประพฤติ รอการกำหนดโทษ บริการสาธารณะประโยชน์ หรือผสมผสานกัน แทนการลงโทษจำคุกระยะสั้นที่ไม่จำเป็น พร้อมให้บริการดูแลป้องกันความปลอดภัยแก่สังคม โดยตั้งผู้ดูแลคุมประพฤติ ซึ่งมีระเบียบจ่ายค่าตอบแทนผู้ดูแลใช้แล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมพร้อมสนับสนุน และต้องหาคนมาขึ้นทะเบียนผู้ดูแล

 

“การรอการกำหนดโทษ ตนรณรงค์ให้ใช้ เพราะบางกลุ่มทำผิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำความผิดครั้งแรก เป็นผู้อ่อนวัยหรือเปราะบาง ไม่ให้มีตราบาปติดตัว เพราะถ้าพ้นเวลาไม่ทำผิดซ้ำ จะไม่มีประวัติ และมีศักยภาพมากกว่าการให้รอลงอาญา เพราะจำเลยกลัวไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษแค่ไหนหากทำผิดซ้ำ ใช้บวกมาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยประคองให้มีโอกาส นักเรียนหรือเยาวชนไม่ควรมีตราบาป”

 

ส่วนโทษกักขังแทนค่าปรับนั้น ให้ขอความสมัครใจทำบริการสาธารณประโยชน์แทนการกักขัง เขาจะไม่ตกงาน ให้ทำบริการสาธารณะวันหยุด ยุคนี้ต้องช่วยให้มีงานทำ มีประสิทธิภาพตรงกับสถานการณ์เช่นนี้ และให้ลดวงเงินการยื่นประกันตัวตามสถานการณ์โควิดเนื่องจากบางคนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเกณฑ์การปรับลดจะพิจารณาได้มากน้อยแค่ไหน คณะทำงานฯ กำลังจะพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า ก็คิดว่าจะได้เกณฑ์ที่ชัดเจน ว่าจะปรับลดได้ถึง 50% ต้องรอข้อสรุปอีกครั้ง ซึ่งแนวคิดลักษณะนี้ จะเรียกได้ว่าลดกระหน่ำช่วง Justice On Sale แต่ไม่ว่าจะลดวงเงินแค่ไหน ก็จะไม่เป็นการแทรกแซงดุลพินิจของผู้พิพากษาที่จะพิจารณาว่าให้หรือไม่ให้ประกัน โดยเฉพาะจำเลยที่เป็นคนอันตรายไม่ต้องปล่อย หรือมีความเสี่ยงสูงก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าจะหลบหนี หรือถ้าให้ประกันจะใช้วงเงินเท่าใดหรือหลักทรัพย์เท่าใด หรือไม่ให้ประกันตัวเลยหากกระทบคดีหรือผู้เสียหาย ให้ยืดหยุ่นปรับใช้ได้ตามสถานการณ์

 

โครงการที่ 4 การพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนด้านแรงงาน เนื่องจากผู้ใช้แรงงานจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หรือไม่สามารถปกป้องสิทธิของตัวเองได้ จึงให้เผยแพร่ความรู้กฎหมายแรงงานทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์, มีโครงการคลินิกแรงงาน ให้คำปรึกษากรณีแรงงานจะถูกเลิกจ้าง หรือถูกเลิกจ้างแล้ว และมีโครงการศาลแรงงานเคลื่อนที่ ใช้รถไปบริการตามศาลต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ศาลแรงงานก็ให้บริการออนไลน์มากขึ้น

 

นายไสลเกษ กล่าวช่วงท้ายว่า ถึงเวลาที่เราต้องมีส่วนในการเยียวยา หวังว่าเราต้องช่วยกันดูแลเสียสละในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในกรอบกฎหมาย ดุลพินิจ และความเป็นอิสระของผู้พิพากษา สอดคล้องกับนโยบายที่สัญญาประชาชนไว้ ทุกโครงการเราทำเชิงรุก ไม่นั่งรับปัญหาอยู่กับที่ อย่างการลงพื้นที่สัมภาษณ์คนที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ศาลไทยเป็นศาลแรกที่ทำ และจะขยายความคิดนี้ชี้นำศาลในอาเซียนให้ไปดูแลประชาชน ทั้ง 4 โครงการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2563 หลังจากนี้ อะไรที่มีประสิทธิภาพ มีประโยชน์ต่อประชาชน ขอให้พัฒนาต่อยอด และขอให้ทุกศาลร่วมกันรายงานผล ประเมินอย่างจริงจัง ว่าเป็นประโยชน์ คุ้มทุนลงแรงหรือไม่ จะรวมเป็นพลังสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่าศาลดูแลคนอย่างเสมอภาค ถ้าศาลสร้างความเชื่อมั่น ความขัดแย้งจะระงับด้วยสันติวิธี ประชาชนยอมรับผลการตัดสิน

 

ภายหลัง นายไสลเกษ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงโครงการ ว่า โครงการทั้ง 4 ได้เริ่มไปแล้วตั้งแต่ มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดในช่วงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เมื่อหมดระยะเวลาวันที่ 30 ก.ย. ส่วนเป็นไปได้หรือไม่ที่โครงการทั้ง 4 ดังกล่าวจะดำเนินต่อในสถานการณ์ปกตินั้น เรื่องนี้ต้องรอผลการประเมินการดำเนินโครงการจากทุกศาลก่อน แต่โดยส่วนตัวก็คาดหวังว่าโครงการเหล่านี้จะดำเนินต่อไปได้อีกในชุดของผู้บริหารต่อไปที่มารับไม้ต่อ

 

สำหรับโครงการที่ 3 เรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีและลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น ในส่วนของการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหา/จำเลย/ผู้ต้องขัง ก็มีแนวทาง 3 ลักษณะ 1.การปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกันแต่ให้มีการสาบานตัว 2.การพิจารณาเรียกหลักประกันโดยให้มีผู้ดูแล 3.การพิจารณาร่วมกับการใช้อุปกรณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลก็ได้ทำงานในเชิงรุก ด้วยการดำเนินโครงการที่ผู้พิพากษาจะเข้าไปพบผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อพิจารณาการประกันตัวด้วยการยื่นคำร้องใบเดียวของศาลทั่วประเทศ (กว่า 200 แห่ง) ซึ่งที่ได้ดำเนินการไปส่วนใหญ่จะเป็นความผิดโทษเล็กน้อย ได้มีการปล่อยตัวไปแล้วประมาณ 3,000 กว่าคน

 

ขณะที่การดำเนินโครงการใหม่นี้ที่จะยกระดับการคุ้มครองสิทธิ ตนก็ขอให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณารอการกำหนดโทษ (เป็นวิธีการที่ศาลใช้กับจำเลยซึ่งถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดในกรณีที่จำเลยนั้นยังไม่สมควรได้รับโทษ ซึ่งเป็นการให้โอกาสจำเลยกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลรอการกำหนดโทษไว้) เพื่อจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งลดการคุมขังที่ไม่จำเป็น โดยจะให้พิจารณาถึงกลุ่มเปราะบาง ที่ถูกดำเนินคดี เช่น เด็ก ผู้สูงวัย ผู้พิการ ซึ่งจะให้พิจารณาถึงลักษณะว่ามีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร หากถูกคุมขังจะเป็นประโยชน์หรือสูญเสียโอกาสหรือไม่ เช่น กลุ่มกระทำความผิดครั้งแรก เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

 

เมื่อถามว่า การรอการกำหนดโทษจะสามารถดำเนินการกับคดีนักการเมืองหมิ่นประมาทกันด้วยหรือไม่ นายไสลเกษ กล่าวว่า กรณีของการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่เป็นสาธารณะ และบุคคลที่มีชื่อเสียง ในลักษณะของการตรวจสอบ เชื่อว่าในประเทศสังคมที่มีประชาธิปไตยน่าจะยอมรับได้มากกว่า แต่ถ้าเป็นการวิจารณ์เพื่อปกป้องประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช้กลั่นแกล้งส่วนบุคคล กรณีเช่นนี้ต้องมีเหตุที่ต้องพิจารณาดูจากพฤติกรรมและเจตนา ซึ่งการให้ใช้ดุลพินิจพิจารณารอการกำหนดโทษนั้น ก็จะใช้กับคดีที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงและสมควรให้โอกาสกลับตัว

 

About The Author