ตำรวจเปิดบ่อน ตู้ม้า เพราะมีผู้บัญชาการคอยคุ้มครอง – พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ตำรวจเปิดบ่อน ตู้ม้า เพราะมีผู้บัญชาการคอยคุ้มครอง
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ปัญหาเชื้อโรคร้ายในทางเดินหายใจไวรัสโควิด-19 ที่กำลังโจมตีโลกมนุษย์ทุกชาติภาษา ไม่ว่าชนชั้นใด แม้กระทั่งในประเทศที่เรียกกันว่าเจริญก้าวหน้าทั้งยุโรปและอเมริกา
ทำให้เจ็บป่วยล้มตายกันเป็นเบือ กว่าแสนคน อยู่เวลานี้
หนทางต่อสู้เอาชนะอย่างแท้จริง มีแต่การคิดค้น ยารักษาและวัคซีนป้องกัน ได้ สามารถแจกจ่ายให้ฉีดกันอย่างทั่วถึงเท่านั้น
ซึ่งคาดว่า น่าจะใช้เวลากันไม่น้อยกว่าหนึ่งปีหรืออาจหลายปี นับจากนี้!
แต่การปฏิบัติสำคัญที่รัฐบาลไทยสามารถทำได้ในสถานการณ์เฉพาะหน้าและตลอดไป “จนกว่าจะคิดค้นวัคซีนได้” ก็คือ
1.ป้องกันการนำเชื้อจากนอกประเทศเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือคนไทยผู้มีสิทธิเดินทางกลับมาตุภูมิของตน ทุกคนต้องถูกกักตัวไว้ 14 วัน เพื่อความแน่ใจ ไม่มีการยกเว้นผู้ใดทั้งสิ้น
2.“ค้นหา” ผู้ติดเชื้อในประเทศ “ทุกคน” นำตัวมารักษาจนหาย หรือบางคนอาจตายไปก็แล้วแต่โชคชะตา!
นั่นคือหลักการที่ฟังดูง่าย แต่การปฏิบัตินั้นแสนยาก
เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าคนไหนเป็นผู้ติดเชื้อแล้วบ้าง จนกว่าอาการเจ็บป่วยจะปรากฏจนต้องไปพบแพทย์และตรวจยืนยัน
ซึ่งระหว่างที่ยังไม่ได้มาพบแพทย์นั้น ก็แพร่เชื้อไปมากมายในหลายสถานที่และหลายคนจนสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก!
มาตรการต่างๆ ที่รัฐออกมา ไม่ว่าจะเป็นการปิดสนามบินควบคุมการเข้า-ออกประเทศ และคำแนะนำเรื่องระยะห่างระหว่างบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย
รวมทั้งคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดในการปิดธุรกิจการค้าที่น่าจะเป็นจุดเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ 26 ประเภท หรือบางจังหวัดก็กำหนดมาตรการมากกว่านั้น แม้กระทั่งประกาศ ศอฉ. ห้ามมิให้คนออกนอกเคหสถานในยามวิกาลถึงไกล้รุ่งสาง 22.00-04.00 น. ทั่วราชอาณาจักร
ถือเป็นเพียง มาตรการชั่วคราว หวังชะลอการแพร่กระจายของเชื้อโรคร้ายไว้ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์อยู่ในความสามารถของแพทย์ที่จะดูแลได้ ไม่ต้องปล่อยให้ผู้คนป่วยตายกันตามยถากรรมเหมือนบางประเทศเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม หากในระยะอีกหนึ่งถึงสองสามเดือนข้างหน้า ถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถจัดการและควบคุมได้อย่างเด็ดขาด
จะทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะขาดอาหารเนื่องจากไม่มีการประกอบอาชีพมีรายได้เช่นปกติ
โดยเฉพาะคนยากจนผู้หาเช้ากินค่ำ เกิดการฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่รัฐแนะนำหรือแม้กระทั่งสั่งบังคับอีกต่อไป!
แม้จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิดหรือผิดกฎหมาย ก็จำเป็นต้องกระทำเพื่อมิให้ตนเองและครอบครัวต้อง “อดตาย”
ซึ่งความวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้อาจเกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ผ่านไปถึงจุดนั้น
ในปัจจุบัน แค่การสั่งห้ามผู้คนออกนอกเคหสถาน ทั่วประเทศ ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์และความจำเป็นของแต่ละพื้นที่จังหวัดและอำเภอ?
ได้ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนต้องออกคำสั่งใหม่เพื่อแก้ไขกันอย่างฉุกละหุกในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นการทำมาหากินของคนในชนบท เช่น การตัดยางที่ตามธรรมชาติ ผู้คนต้องออกจากบ้านตอนเที่ยงคืน กิจการประมง ธุรกิจการขนส่งข้ามจังหวัดและอื่นๆ อีกสารพัด
ซึ่งการสั่งห้ามทั้งประเทศด้วยอำนาจของนายกรัฐมนตรี
แทนที่จะเป็นดุลยพินิจและอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ซึ่งการออกประกาศห้ามทั่วประเทศเช่นนั้นในระยะเวลาสั้นๆ ผู้คนอาจทนได้
แต่ถ้านานเกินไป และยิ่งไม่รู้เวลาสิ้นสุด เมื่อถึงจุดหนึ่ง ย่อมเกิดการฝ่าฝืนเพื่อทำให้ชีวิตตนเองและครอบครัวได้มีกินมีใช้
แม้กระทั่งในวิธีปฏิบัติจริงในการควบคุมของเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบแต่ละพื้นที่ก็มีปัญหามากมาย
ตำรวจหลายพื้นที่ทำงานกันแบบ ศรีธนญชัย มีการใช้อำนาจโดยไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนและความจำเป็นของประชาชนแต่ละคนแต่อย่างใด?
หลายคนเข้าใจว่าการออกนอกบ้านในเวลาห้ามเป็นพฤติกรรมคล้ายผู้ก่อการร้ายอาจถือโอกาสไปก่อวินาศกรรมได้!
จึงไม่ยอมอะลุ้มอล่วยให้ประชาชนผู้มีความจำเป็นคนใดง่ายๆ
รวมทั้งเพื่อให้มีผลการปฏิบัติในการจับกุมรายงานหน่วยเหนือตามที่ถูกสั่งกำชับมา ตำรวจผู้ใหญ่จะได้มีสถิตินำไปประกอบการแถลงข่าวที่ส่วนกลางเป็นรายวันด้วย
อย่างพยาบาลสาวในจังหวัดนนทบุรีคนหนึ่งซึ่งออกเวรตอนดึก เมื่อผ่านด่านตรวจ กลับถูกตำรวจ ถามหาเอกสารการอนุญาตจากต้นสังกัด!
ทำให้ต้องเสียเวลา นับชั่วโมง ในการเข้าคิว แสดงหลักฐานและตอบคำถามต่างๆ มากมาย
นัยว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัดตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาของตำรวจไทย เพื่อป้องกันเชื้อโรคร้ายมิให้แพร่ระบาดไปในหมู่ประชาชน?
แต่ขณะเดียวกัน บ่อนการพนันใหญ่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อสำคัญเปิดกันมานานหลายปี เป็นที่รู้กันในหมู่ประชาชน
กลับไม่มีตำรวจผู้ใหญ่คนไหนหรือหน่วยใดสนใจสืบสวนจับกุมแต่อย่างใด?
หลายจังหวัดมีคนได้รับความเดือดร้อนจนทนไม่ไหว ต้อง แอบแจ้ง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หรือแม้กระทั่งกรมการปกครองจัดชุดปฏิบัติการพิเศษไปจับแทนตำรวจสารพัดหน่วยที่มีอยู่มากมายทั้งในและนอกจังหวัด
แต่ละแห่งใช้เงินงบประมาณมากมายในแต่ละปี แต่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในการรักษากฎหมายได้
ไม่ว่าจะเป็นสถานี กองบังคับการ และกองบัญชาการพื้นที่ ตำรวจสอบสวนกลาง แม้กระทั่งตำรวจแห่งชาติ
ปัญหาบ่อนพนัน ตู้ม้า และแหล่งอบายมุขสารพัดในประเทศไทยนั้น ในระยะ หนึ่งถึงสองปีมานี้ แทบจะเรียกได้ว่า เปิดกันอย่างเสรี ในแทบทุกจังหวัดใหญ่
แม้กระทั่งช่วงเชื้อไวรัสระบาดก่อนมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน บ่อนการพนันหลายแห่งก็ยังเปิดกันปกติ
นักพนัน ออกจากสนามมวยไม่ว่าเวทีใด ไม่ว่าจะติดเชื้อไวรัสแล้วหรือไม่ ก็เข้าไปต่อในบ่อนใหญ่ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดได้หลายแห่ง
เรื่อง ไม่เคลียร์ตำรวจทุกหน่วย แล้ว แอบเปิดเป็น บ่อนวิ่ง ตำรวจไม่สามารถล่วงรู้ได้ อย่างที่ผู้รับผิดชอบรายงานต่อนายกรัฐมนตรีตลอดมานั้น
ผู้ประกอบการนายบ่อนอาชีพ ตู้ม้า และแหล่งอบายมุขทุกคน เขาไม่ทำกันอย่างนั้นแน่นอน
ตำรวจผู้ใหญ่ถือหลักว่า ผู้ว่าฯ นายอำเภอ หรือแม้กระทั่งกรมการปกครอง มีปัญญาจับ จับไป!
เมื่อจับแล้ว หัวหน้าสถานีตำรวจทุกแห่งไม่ต้องตกใจ
เพราะในการดำเนินคดีอาญา ทุกหน่วยต้องส่งให้ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้อัยการทั้งสิ้น?
ส่วนความรับผิดชอบทางการบริหาร ก็จะตามมาแค่คำสั่งของผู้บังคับการ หรือผู้บัญชาการ ให้ตำรวจผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสามสี่คนไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.จังหวัด หรือ ตร.ภาค
หรือที่สื่อเรียกกันว่า เด้ง ระยะหนึ่ง
พร้อมคำสั่ง ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าใครทุจริตรับส่วยสินบน หรือตำรวจคนใดละเว้นหรือบกพร่องต่อหน้าที่ผิดวินัยร้ายแรงต้องไล่ออกปลดออกจากราชการบ้าง?
ซึ่งสรุปผลการสอบสวนแทบทุกกรณี จะไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีหลักฐานตำรวจคนไหน “รับส่วยสินบน”
หรือแม้แต่ “บกพร่องต่อหน้าที่” มีการลงโทษทางวินัยร้ายแรง ถูก “ไล่ออก” หรือ “ปลดออก” จากราชการ
แม้กระทั่งผิดวินัยไม่ร้ายแรงถูก “กักขัง” “ถูกตัดเงินเดือน” แม้แต่คนเดียว!
การสั่งให้ไปปฏิบัติราชการ ศปก.ตร.ต่างๆ หรือแม้กระทั่งตั้งกรรมการสอบสวน
จึงเป็นการ “เล่นละคร” หลอกนายกรัฐมนตรี!
รวมทั้งหลอกสื่อมวลชนและประชาชนเท่านั้น!.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 13 เม.ย. 2563