‘พรรคภูมิใจไทย’ ไม่มีนโยบาย ‘ปฏิรูปตำรวจ’!

‘พรรคภูมิใจไทย’ ไม่มีนโยบาย ‘ปฏิรูปตำรวจ’!
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนว่า ปัญหาตำรวจไทย ในปัจจุบันนั้นนับวันยิ่งหนักหนาสาหัส สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนสารพัด
ตั้งแต่ไม่สามารถป้องกันอาชญากรรมในความเป็นจริงได้ เพราะตำรวจผู้ใหญ่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแทบทุกระดับล้วน ‘รับส่วย’ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งอบายมุขที่เป็นสาเหตุสำคัญของอาชญากรรมร้ายและยาเสพติด!
ซ้ำเมื่อเกิดการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นและมีผู้เสียหายไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็ ไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมายเร่งจับตัวคนร้าย สรุปสำนวนส่งให้อัยการสั่งฟ้องคดีจนถึงที่สุดโดยเร็ว
ทำให้ประชาชนแทบทุกคนต้องดิ้นรนขวนขวายไปติดต่อหาทนายหรือนายหน้าให้พาไปแจ้งความ หรือออกรายการโทรทัศน์ช่องดัง กดดันให้ตำรวจสอบสวนดำเนินคดีตามหน้าที่!
เวลานี้ทุกสถานีตำรวจทั่วไทยเมื่อมีผู้ไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนก็จะใช้วิธีลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานโดยออก ‘คำรับแจ้งความ’ เหมือน ‘บันทึกช่วยจำ’ ให้ผู้เสียหายถือกลับบ้านไปคนละแผ่นสองแผ่นตามที่ ผบ.ตร.คนหนึ่ง ซึ่งไม่มีความรู้และความเข้าใจทางกฎหมาย ได้ออก ‘คำสั่งที่วิปริต’ ไว้ให้พนักงานสอบสวนทั่วประเทศถือปฏิบัติโดยขัดต่อกฎหมายคือ ป.วิ อาญา ที่ให้รีบดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานโดยมิชักช้า
ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดสถิติคดีอาญาทุกประเภท หลอกรัฐบาล รัฐสภาและประชาชนทั้งประเทศว่าตำรวจไทยทุกหน่วยทำหน้าที่ป้องกันอาชญากรรมอย่างได้ผลดียิ่งทุกเดือนและทุกปี ใครข้องใจก็ไปดูหลักฐานตัวชี้วัดการทำงานสารพัดที่จัดไว้พร้อมแสดงให้ดูได้
ปัญหาการบริหารงานตำรวจที่ชั่วร้ายเช่นนี้เกิดจากการที่กรมตำรวจได้แยกออกจากกระทรวงมหาดไทยไปเป็น ‘ตำรวจแห่งชาติ’ เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อตัวนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีองค์กรและระบบการตรวจสอบควบคุมจากภายนอกไม่ว่าโดยหน่วยงานใดอย่างสิ้นเชิง!
และตัว นายกรัฐมนตรี เองก็ไม่มีเวลามาสนใจปัญหาตำรวจแต่อย่างใด มีหน้าที่เพียงคอยเดินทางไปประชุม ก.ตร.และ ก.ต.ช. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเดือนละครั้ง โดย ผบ.ตร.ได้ตั้งแถวกองเกียรติยศให้เดินตรวจอย่างภูมิใจก่อนเดินขึ้นไปประชุมตามที่ ผบ.ตร.แจ้งนัดหมายเพื่อให้เป็นประธานพิจารณาเรื่องต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น!
ตำรวจบางส่วนก็กลายเป็น อาชญากรร้ายก่ออาชญากรรมเสียเอง ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวอีกมากมาย โดยในข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญาหรือลงโทษทางวินัยไล่ออก ปลดออกกันจริงจังแต่อย่างใด เพราะผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ลงโทษส่วนใหญ่ล้วน ‘รับส่วย’ ทั้งทางตรงทางอ้อมจาก ‘ตำรวจอาชญากร’ เหล่านี้ทั้งสิ้น
การตั้งด่านกีดขวางทางหลวง มี ‘ตำรวจไอ้โม่ง’ ยืนเรียงรายกลางถนนเรียกให้ประชาชนหยุดรถ ขอตรวจค้น ตรวจเมา ตรวจฉี่ หรือตรวจใบขับขี่ประชาชนโดยไม่มีเหตุผลและพฤติการณ์การกระทำผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยมีเจตนาแท้จริงเพื่อการทุจริตหาเงินไป ‘ส่งส่วย’ ให้ตำรวจผู้ใหญ่ ได้กลายเป็นเรื่องที่ตำรวจไทยปฏิบัติกันเป็นประจำทุกวันทั่วไป
จนส่วนใหญ่คิดว่าตนมีอำนาจทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายไปแล้ว คนที่เป็นตำรวจไม่ว่าจะมีหน้าที่อะไรสามารถขอตรวจ ขอค้นรถ หรือบ้านใคร เพื่อทำให้เกิดความหวาดหวั่นหวาดกลัวกันอย่างไรก็ได้!
ถ้ารัฐบาลไม่ ปฏิรูปตำรวจครั้งใหญ่ โดยให้ทุกหน่วยในพื้นที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ว่าฯ กทม.และจังหวัด มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายและลงโทษทางวินัยตำรวจทุกคนได้เมื่อผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการตำรวจจังหวัด ปัญหาตำรวจไทยจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ และกระทบต่อ ความมั่นคงของชาติ อย่างร้ายแรง!
สำหรับ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ซึ่งเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ ประชาชนก็ยังไม่เห็นว่ามีนโยบายในการปฏิรูปตำรวจ หรือแม้แต่จัดการตำรวจผู้ใหญ่ที่ไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมายแต่อย่างใด
เช่นในกรณีกรมการปกครองต้องนำกำลัง อส.ไปจับบ่อนพนันหรือสถานบันเทิงผิดกฎหมายทั่วประเทศมากมายทั้งที่เขาอยู่ห่างไกลประชาชน ก็ไม่เคยเห็นตำรวจผู้ใหญ่คนใด ไม่ว่า ผบก.หรือ ผบช. ถูกสั่ง ‘พักราชการ’ หรือ ‘สำรองราชการ’ เพราะไม่ทำหน้าที่
ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งเช่นนั้นได้แสนง่ายเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่นแม้แต่คนเดียว!.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 29 ก.ย. 2568