ผู้ว่าการท่องเที่ยวอยากได้ ‘ตำรวจจีน’ ตรวจรักษากฎหมายไทย เพราะอะไร?
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาเรื่องผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อหลังเข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องเรื่องปัญหาการท่องเที่ยวว่า
มีแผนจะนำ ตำรวจจีน เข้ามาเป็นสายตรวจพิเศษในเขตท่องเที่ยวเมืองใหญ่หลายแห่ง
เนื่องจากเห็นว่า ชาวจีนที่มีพฤติกรรมทำผิดกฎหมายจะกลัวตำรวจจีนมากกว่า “ตำรวจไทย”!
ถ้าให้มาช่วยเป็นสายตรวจรักษากฎหมายในบางพื้นที่ ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าปัจจุบัน
การแถลงข่าวด้วยถ้อยคำที่ ชัดเจนในประเด็นดังกล่าว มี ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและนายพลตำรวจอีกคนหนึ่ง ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ
แต่หลังจากมีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่จากหลายฝ่ายว่าทำไม่ได้ และไม่ควรทำ เพราะจะเป็นเรื่องเสียหาย และกระทบอธิปไตยของชาติ ทำให้ความคิดนี้เป็นอันต้องระงับไป
ขณะนี้ นางฐาปนีย์ จึงได้กลายเป็น แพะรับบาป และอยู่ในอาการ น้ำท่วมปาก ถูกผู้คนต่อว่า เธอน่าจะ พูดมั่ว, พูดเอาเองอย่างไร้เดียงสา!
เพราะ นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี ก็ปฏิเสธทันทีที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เคยพูด หรือมีใครในรัฐบาลมีความคิดพิสดารเช่นนั้นกันแต่อย่างใด!
แต่ก็น่าแปลกใจ ที่ไม่เห็นมีใครสั่งให้เธอเขียนรายงานชี้แจงเพื่อพิจารณาโทษทัณฑ์ หรือแม้แต่มีคำพูดตำหนิ ความคิดอุตริ ที่เป็นไปไม่ได้ สร้างความเสียหายต่อรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้แผนการนี้จะตกไป แต่ คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ตั้งคำถามว่า แล้วเหตุใดผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงมีความคิดเช่นนี้
ประเทศไทยมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวจีนถึงขนาดที่รัฐบาลไทยจัดการตามกฎหมายไม่ได้?
หรือชาวจีนส่วนใหญ่เขาไม่ไว้ใจ “ตำรวจไทย”!
น่าเสียดายที่นางฐาปนีย์ไม่ได้อธิบายต่อไปว่า ทำไม พวก “จีนคนร้าย” จึงไม่กลัว
“ตำรวจผู้รักษากฎหมายไทย”
ไม่ว่าจะมีจำนวนมากแค่ไหน มีอีกสารพัดหน่วยเท่าใด พวกจีนดำจีนเทาเขาก็ไม่ได้กลัวเกรงอะไร?
โดยเฉพาะ ตำรวจท่องเที่ยว ที่ตำรวจผู้ใหญ่คุยกันโขมงโฉงเฉงว่า มีความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวทุกชาติทุกภาษา
แต่การรักษากฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยแท้จริง พวกเขาทำไม่ได้
เพราะ ไม่มีอำนาจสอบสวน ดำเนินคดีกับคนร้ายทั้งไทยและชาวต่างชาติใดแม้แต่คนเดียว!
คำถามที่นายกรัฐมนตรีควรตอบประชาชนก็คือ
แล้วรัฐบาลจะควบคุมให้ตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่กันด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพื่อให้เป็นกริ่งเกรงของพวก จีนเทา และ จีนดำ ที่เข้ามากระทำผิดกฎหมายในดินแดนไทย ไม่ว่าจะเป็นการกรรโชกทรัพย์ หรือจับคนจีนด้วยกันเรียกค่าไถ่ การตั้งแก๊งฉ้อโกงออนไลน์ซึ่งมีอยู่มากมายในขณะนี้ได้อย่างไร?
และท่าน ทราบหรือยังว่า เหตุใดพวกจีนเทาและจีนดำจึงไม่กลัวตำรวจไทย?
แต่กลัว ตำรวจจีน มากกว่า ตามที่ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงความจำเป็นที่ต้องคิด นำเข้า มาตรวจรักษากฎหมายในบางพื้นที่เช่นนี้
ความคิดของนางฐาปนีย์คงไม่ได้มีขึ้นอย่างเลื่อนลอยโดยไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก่อนอย่างแน่นอน
แต่เป็นธรรมชาติของผู้มีอำนาจประเทศไทยที่จะไม่ยอมรับปัญหาใดๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนกันง่ายๆ
ทุกคนจะพยายามบ่ายเบี่ยงไปมาพูดจาวกวนว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาการรักษากฎหมายและความไม่ปลอดภัยอะไร บางกรณีเป็นเรื่องที่บางฝ่ายเข้าใจผิดและได้พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว
ต่อไปจะทำงานร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีการขัดแย้งกันแต่อย่างใด
เหมือนกรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ที่ให้สัมภาษณ์เรื่อง กรมการปกครอง ไปจับสถานบันเทิงเถื่อนในเขตอำเภอเมือง แทนตำรวจผู้รับผิดชอบสารพัดหน่วย ว่า
ได้ร่วมกันกับตำรวจในการตรวจตราจับกุม มีการร่วมมือกันเป็นอย่างดี ไม่มีใครรับส่วยหรือบกพร่องต่อหน้าที่ต้องมีการลงโทษหรือแม้แต่สั่งย้ายให้พ้นจากพื้นที่อะไร?
พฤติกรรมของนักการเมืองผู้มีอำนาจและข้าราชการเช่นนี้ ส่งผลทำให้ปัญหาสารพัดในประเทศไทย ถูกหมกและปกปิดเอาไว้ ไม่ได้ถูกแก้ไขจัดการอย่างทันท่วงที
รวมทั้งทำให้ไม่มีความคิดในการปฏิรูป หรือแม้แต่ สังคายนา อะไร
ปัญหาเรื่องคนจีนเข้ามาเที่ยวไทยแล้วไม่ได้รับความปลอดภัย เพราะถูกพวกจีนเทาคอยรีดไถ หรือจับตัวเรียกค่าไถ่
แม้กระทั่งมีภัยจาก “ตำรวจผู้ใหญ่” ทั้งในและนอกราชการ ที่อยู่เบื้องหลังแก๊งจีนเทาเหล่านี้ ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่มากมาย
ไม่อย่างนั้น นายตู้ห่าว จะประกาศก้องต่อหน้าคู่ค้าอย่างอหังการว่า ไม่ทำตามพูด กูยิง!
กฎหมายไทยทำอะไรกูไม่ได้ บอกให้ดูคดี ตีหัว รปภ. “เผาสวนงู” ที่ภูเก็ต เป็นตัวอย่าง
มีใครทำอะไรกูได้บ้าง!.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 20 พ.ย. 2566