‘วิรุตม์’แฉตร.รับส่วยเหตุโควิดระบาด จี้นายกฯฟันอาญา-สำรองราชการ
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2564 พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) กล่าวว่า กรณีมีหลักฐานปรากฎชัดว่า การแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด -19 รอบที่สามครั้งนี้ซึ่งมีที่มาจากสถานบันเทิงผิดกฎหมายขนาดใหญ่สองแห่งในเขต สน.ทองหล่อ พื้นที่รับผิดของ บช.น.มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกระทั่งทำให้เด็กหนุ่มสาวทั้งคนทำงานและผู้เข้าไปใช้บริการรวมทั้งนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงหลายคนต้องติดโรคกันไปโดยไม่รู้ตัว เป็นพาหนะแพร่เชื้อไปทั่วประเทศมากมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของชาติและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างร้ายแรงครั้งนี้
เป็นที่ทราบกันดีในวงการตำรวจว่ามีสาเหตุมาจากการปล่อยปละละเลยรวมทั้งการทุจริตประพฤติมิชอบของตำรวจผู้ใหญ่ในการ “รับส่วยสินบน” จากแหล่งอบายมุขผิดกฎหมาย ทั้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้และอีกมากมายไม่ต่างไปจากปัญหา “บ่อนการพนัน” สารพัดรูปแบบที่เกิดขึ้นทั่วประเทศไทย จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติในวงการตำรวจไปแล้วนั้น
ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีต้องคิดทบทวนได้แล้วว่า เหตุใดกว่าเจ็ดปีที่ผ่านมานับแต่ท่านทำการปฏิวัติยึดอำนาจจนกระทั่งปัจจุบัน จึงไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง ตำรวจผู้ใหญ่หลายระดับยังคงใช้อำนาจตามกฎหมายในการหาประโยชน์จากแหล่งอบายมุขกันจนหลายคนร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐีมากมาย และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น นอกจากการสั่งย้ายให้หัวหน้าสถานีตำรวจผู้รับผิดชอบไปช่วยราชการอีกที่หนึ่งชั่วคราวแล้ว ก็ไม่เคยปรากฎว่าได้มีการดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัยมีตำรวจคนใดถูกไล่ออก หรือปลดออกจากราชการแม้คนเดียว
และในความเป็นจริง การสั่งย้ายให้ตำรวจผู้รับผิดชอบไปช่วยราชการเช่นนี้ ยังถือเป็นพฤติกรรม “การคุ้มครอง” ตำรวจผู้กระทำผิดทั้งทางอาญาและวินัยอีกด้วย!ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจจริงที่จะกำจัดแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายซึ่งเป็นทั้งสถานที่แพร่ระบาดของโรคร้าย ทำลายเด็กเยาวชนและก่อปัญหาอาชญากรรมต่างๆ มากมาย สิ่งแรกที่ต้องทำ นอกจากการดำเนินคดีกับผู้จัดการสถานบันเทิงซึ่งมีฐานะเป็นเพียง “ลูกจ้าง” หรือ “ตัวแทนเชิด” ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ประกอบการที่แท้จริงทั้งที่เป็นคนมีสีและไม่มีสีเช่นกรณีคริสตัลคลับ และ เอมมอรัล ก็คือ
การสั่งให้มีการ “ดำเนินคดีอาญา” และ “ลงโทษทางวินัยร้ายแรง” รวมทั้งสั่ง “สำรองราชการ” ตำรวจผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบตั้งแต่หัวหน้าสถานี ผบก.และ ผบช.ในทุกพื้นที่ที่เกิดปัญหาให้ปรากฏ มิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อตำรวจคนอื่นในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือมีพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบกันเช่นเดิมต่อไป
รวมทั้งต้องเร่งดำเนินการ “ปฏิรูประบบตำรวจ” โดยสร้างระบบตรวจสอบจากองค์กรภายนอกที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงขึ้น เช่น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั้งเข้าและออกจากจังหวัด โอนสำนักงานจเรตำรวจให้เป็นหน่วยงานสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อที่นายกฯ และปลัดสำนักนายกฯ จะสามารถสั่งการใช้เป็นมือไม้ในการตรวจสอบ สอบสวนและประเมินผลการปฏิบัติงานของ ผบ.ตร. รวมทั้งหน่วยตำรวจต่างๆ
รวมทั้งเร่งแก้ไข ป.วิ อาญา ให้อัยการมีอำนาจเข้า “ตรวจสอบ” การสอบสวน “คดีสำคัญ” หรือ “กรณีที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน” ว่าการสอบสวนได้กระทำโดยมิชอบ ไม่เป็นธรรม หรือ “พนักงานสอบสวนไม่รับคำร้องทุกข์” หรือ “ไม่ดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย” เช่นเดียวกับระบบการสอบสวนคดีอาญาสากลเช่นเดียวกับประเทศที่เจริญทั่วโลกด้วย