ไม่มี ตร.ภาค ไม่มีบ่อน ตู้ม้า แหล่งอบายมุขผิดกฎหมาย   

ยุติธรรมวิวัฒน์

                                      ไม่มี ตร.ภาค ไม่มีบ่อน ตู้ม้าแหล่งอบายมุขผิดกฎหมาย

                                                        พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนไทยในเวลานี้ ไม่มีใครคาดหมายได้ว่าสุดท้ายจะจบลงอย่างสงบสุขโดย ไม่มีประชาชนจำนวนมากต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อได้อย่างไร?

เงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้คนอย่างไม่จบสิ้นทุกวันนี้ก็คือ “รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560” 

ซึ่งถูกร่างขึ้น โดยวางหมากกล และเงื่อนไขในการ สืบทอดอำนาจราชการแบบโบราณ โดย ความคิดของกลุ่มนายพลทหาร ที่ทำการปฏิวัติยึดอำนาจไว้ นานถึง 20 ปี!

ส่งผลให้มีความเคลื่อนไหวของประชาชน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้า เรียกร้องให้มีการ จัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ตัวแทนประชาชนทั่วประเทศ ที่แท้จริงขึ้น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ให้มี ความเป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล  และ สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ อย่างแท้จริง

แต่น่าเสียดาย ที่รัฐบาล ขาดความจริงใจ ตามที่ได้เคยรับปากและแสดงท่าทีต่อประชาชนเอาไว้!

ระหว่าง ความคลี่คลายอย่างสันติ ที่กำลังดำเนินไปด้วยดี กลับมีกลุ่ม ส.ส.และ .ว.ลากตั้ง โดยอำนาจ คสช.  จำนวนหนึ่ง เข้ากันเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า  การจัดตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่บางคนก็ร่วมเห็นชอบด้วย สามารถทำได้หรือไม่?

คล้ายเป็น “การหารือ” ยื้อเวลาการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบครั้งใหญ่ ในรอบหลายสิบปีไปเรื่อยๆ ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้!

ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นอันเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัย เนื่องจากไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างองค์กรที่ต้องชี้ขาดอะไร?

และถ้าเกิดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไม่สามารถร่างฉบับใหม่ขึ้นได้ ไม่ว่าจะโดย ส.ส.ร.หรือคนกลุ่มใด นั่นย่อมหมายความว่า

คนไทยจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่มีปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างมากมายในจำนวน 279 มาตราไป “ชั่วนิจนิรันดร์” กระนั้นหรือ?

สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะเพียงบางมาตราเท่านั้น 

ซึ่งถ้าหากการ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างสันติ กลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

คำตอบสุดท้ายของประชาชนก็คือ มีแต่ต้องใช้อำนาจอาวุธและกำลังทหารทำการ “ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐ” ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 หลังจากบ้านเมืองเกิดความวุ่นวายถึงขั้นเสียเลือดเนื้อกันก่อนแล้ว จึงจะสามารถร่างใหม่ได้อย่างที่เคยทำกันมาหลายครั้งแล้วหรืออย่างไร?

อีกสองสามวันก็จะถึงกำหนดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 10 คน เป็นเป้าหมาย ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตและความผิดพลาดในการบริหารราชการที่ ไม่น่าไว้ใจ ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป

เรื่องหนึ่งซึ่งคงหนีไม่พ้น ก็คือ ปัญหาบ่อนการพนัน ตู้ม้า และแหล่งอบายมุขสถานบันเทิงผิดกฎหมายต่างๆ ที่รัฐบาลได้ปล่อยให้เกิดขึ้นมากมายใน 4-5 ปีที่ผ่านมา

เหตุการณ์ยิงกันตายถึง 4 ศพ ในบ่อนพระราม 3 เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2563 พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งมีตำรวจระดับสารวัตรนักพนันคนหนึ่งเป็นเหยื่อรวมอยู่ด้วย!

ไม่ได้ช่วยให้นายกรัฐมนตรีมีความตื่นตัวต่อปัญหาบ่อนการพนันและแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายในสังคมไทยที่สร้างความเสียหายอย่างย่อยยับต่อเด็กและเยาวชนและสังคมแต่อย่างใด

ปัจจุบัน นายบ่อนพระราม 3 ตัวจริง รวมทั้ง นายพลตำรวจหลายคน ที่ “รับส่วยสินบน” จากบ่อนการพนันเหล่านี้ รวมทั้งบางคนถึงขนาดมีพฤติการณ์เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ก็ยังไม่มีใครถูกจับดำเนินคดี หรือแม้กระทั่งมีความผิดทางวินัยร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงอะไรเลยแม้แต่คนเดียว!      

กระทั่งปัญหาได้นำมาสู่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดรอบสอง โดยมี หลักฐานชัดเจนที่จังหวัดระยอง และชลบุรี จันทบุรี และตราด

ที่ตั้งกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 นั่นเอง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึง “เริ่มตื่นจากภวังค์”

ลุกขึ้นสั่งให้ ผบ.ตร. ดำเนินการกวาดล้างอย่างจริงจัง

ทั้งๆ ที่บ่อนการพนันใหญ่และ ตู้ม้า ตู้สล็อต ในจังหวัดระยองและพัทยา ชลบุรี ได้ เปิดกิจการดูดเงินประชาชนโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนและคนยากจนมานานหลายปี เป็นที่รู้กันดีทั่วไปในหมู่ตำรวจแทบทุกคน!

ครั้งสุดท้ายผู้คนคงจำได้ในปฏิบัติการ จับบ่อนใหญ่ในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดย ชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ

ต่อมากลับมี พลตำรวจเอกคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์โวยวาย ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษมีหน้าที่อะไรในการจับบ่อนพนัน? และ รมว.ยุติธรรม ก็ออกมาแสดงอาการงงๆ กับอำนาจของกระทรวง!

ทำให้ความเคลื่อนไหวในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่จะนำไปสู่การยึดทรัพย์นายบ่อนและผู้สนับสนุนตัวจริงได้เงียบหายไป!

ปัจจุบันหลังพบหลักฐานการเปิดบ่อนที่จังหวัดระยองและเป็นเหตุให้มีผู้ติดเชื้อโควิด

นอกจากนายกรัฐมนตรีเริ่มคิดอะไรได้ เป็นผลให้มีการสั่ง ผบก.จังหวัด 4 คน และ ผบช.ตร. ภาค ไปปฏิบัติงานที่ สุสานตำรวจ ที่เรียกกันว่า ศปก.

พร้อมแต่งตั้งให้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการหาข้อเท็จจริงว่า

ปัจจุบันปัญหาบ่อนการพนันในประเทศไทยเกิดขึ้นมากมายด้วยเหตุใด?

เป็นเพราะ คนไทยมีนิสัยสันดานชอบเล่นการพนัน กันอย่างที่ ตำรวจผู้ใหญ่ที่มี “พฤติกรรมและนิสัยเป็นนักพนัน” ชอบพูดกรอกหูประชาชนและสื่อมวลชนกัน จริงหรือไม่?

ขอเรียนว่า ในอดีตปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายในประเทศไทยไม่ได้มีเกิดขึ้นมากมายเท่าปัจจุบัน!

เนื่องจากตำรวจในสมัยก่อน ถือว่าเป็นหน่วยงานอยู่ใต้อำนาจการปกครองบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2535

ซึ่ง ผวจ.มีอำนาจสั่งย้ายตำรวจชั้นสารวัตรลงมาภายในจังหวัดได้

ทำให้ “หัวหน้าตำรวจจังหวัด” ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมียศพันตำรวจเอกหรือพลตำรวจตรี 

ก็ยังต้องมีความเกรงใจผู้ว่าราชการจังหวัดและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายต่างๆ ด้วยดี

รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือแม้กระทั่งปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือหรือบันทึกสั่งการอะไรไปถึงผู้ว่าฯ ก็สามารถสั่งต่อไปให้หัวหน้าตำรวจจังหวัดให้ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นได้ รายงานผลให้ทราบ

แม้กระทั่งในงานสอบสวน ผู้ว่าฯ และนายอำเภอก็ยังสามารถใช้อำนาจตาม ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยปี 2523 เข้าตรวจสอบหรือควบคุมคดีที่มีปัญหาประชาชนร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมได้

ไม่ได้มีปัญหา “ตำรวจไม่ยอมส่งสำนวนให้ ผวจ.” โดยอ้างคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อ ป.วิ อาญา เช่นปัจจุบันกันแต่อย่างใด?

ทำให้หัวหน้าตำรวจจังหวัดและสถานี ต้องมีความใส่ใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนทั้งด้านงานป้องกันอาชญากรรมและการสอบสวนมากว่าปัจจุบัน นับสิบนับร้อยเท่า!

เพราะหากทำงานไม่ดีหรือปล่อยให้มีปัญหาบ่อนพนันหรือแหล่งอบายมุข ประชาชนก็จะอาจไปร้องทุกข์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดให้จัดการ รวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ สามารถนำไปซักถามในการประชุม กรมการจังหวัดประจำเดือน ได้

แต่หลังจากได้มีการจัดตั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยที่ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี แทน กรมตำรวจ ที่มีฐานะเป็นอธิบดีคนหนึ่งในสังกัดกระทรวงมหาดไทย

รวมทั้งได้มีการยกระดับกองบังคับการตำรวจเขต 1-9  ซึ่งมีตำรวจประจำอยู่เพียง 30-40 คน ให้ใหญ่โตขึ้นกลายเป็น “กองบัญชาการ” แต่ละแห่งมีตำรวจอยู่ถึง 300-400 คน

มี “พลตำรวจโท” ชั้นยศเท่าแม่ทัพภาค 1-4 เป็นหัวหน้า รวมทั้งรองผู้บัญชาการอีก 6-7 คน

ส่งผลทำให้ตำรวจไทยบางกลุ่ม ได้เลื่อนยศเป็นนายพลตำรวจโทและพลตำรวจเอกแบบทหาร กันอย่างรวดเร็ว!

ทั้งๆ ที่เป็นที่ทราบกันดีว่า กองบัญชาการตำรวจภาค ไม่ได้มีงานการอะไร โดยเฉพาะในทางกฎหมาย ทำกันเป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด?

ในความเป็นจริงงานตำรวจส่วนใหญ่ ร้อยละ 90  สามารถจบได้ภายใต้ ขีดความสามารถที่สุจริต ของหัวหน้าสถานีตำรวจทั้งสิ้น

อย่าง คดีฆ่าคนตาย ซึ่งถือว่าเป็น อาชญากรรมร้ายแรงที่สุด ทุกสถานีก็สามารถสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจับผู้ต้องหาส่งให้อัยการฟ้องศาลจังหวัดพิพากษาแม้กระทั่งประหารชีวิตได้

หรือหากมีบางคดี ซับซ้อน ก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง  กองบังคับการตำรวจจังหวัด แต่อย่างใด

ตำรวจภูธรภาคไทยซึ่งแต่ละแห่งต้องใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 300-400 ล้านบาท?      

จัดตั้งขึ้นอย่างใหญ่โอ่อ่าเพื่ออะไร มีความจำเป็นต่อการบริหารงานของกองบังคับการตำรวจจังหวัด สถานีตำรวจ รวมทั้งประชาชนหรือไม่?

ไม่มีตำรวจผู้ใหญ่คนใดตอบหรือสามารถอธิบายได้อย่างแน่ชัด

เพิ่งได้ยินเสียงของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคประชาชาติ ในการอภิปรายเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า ไม่ได้มีประโยชน์ต่อประชาชนอะไร  ซ้ำ กลายเป็นภาระให้ตำรวจต้องส่งส่วย

และ เสนอให้ยุบลงทั้งหมด

ซึ่ง นอกจากจะทำให้ปัญหาบ่อนพนัน ตู้ม้า และแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว

ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติที่ปี 2565 นี้หน่วยราชการต่างๆ ได้มี คำขอเงินจาก “ภาษีของประชาชน” สูงถึง 5.4 ล้านล้านบาทอีกด้วย.

ไม่มีตร.ภาคไม่มีบ่อน

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:  ฉบับวันที่ 15 ก.พ. 2564

About The Author