อัยการแจงตามตัว’บอส อยู่วิทยา’ ซิ่งเฟอร์รารี่ชนตร.ตายอยู่ในขั้นตอนตำรวจสืบหาว่าพำนักอยู่ที่ใด เผยเหลือเวลาอีก7ปีที่จะตามตัวมายื่นฟ้องต่อศาล
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2563 นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงขั้นตอนการติดตามตัวนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา อายุ 35 ปี ทายาทผู้บริหารกิจการเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ผู้ต้องหา ที่อัยการสั่งฟ้อง (เมื่อปี 2558) ในคดีขับรถ(สปอร์ตเฟอร์รารี่) โดยประมาททำให้ผู้อื่น (ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตผู้บังคับหมู่ปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ) ถึงแก่ความตาย หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้มีมติวันที่ 26 มิ.ย.2563 ชี้มูลความผิดวินัยไม่ร้ายแรงและประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 คน ไม่ดำเนินการตามขั้นตอนคดีให้ครบถ้วนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาหลบหนี ว่า สำนวนคดีของนายวรยุทธ อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำสั่งฟ้องในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ซึ่งตามกฎหมายจะมีอายุความในการติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีเพื่อยื่นฟ้องศาลภายใน 15 ปี นับตั้งแต่วันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2555 ดังนั้นคดีจึงจะครบกำหนดที่จะขาดอายุความในวันที่ 3 ก.ย. 2570 เท่ากับนับจากนี้จึงมีเวลา 7 ปีที่จะติดตามตัวผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลตามคำสั่งฟ้องขอบอัยการดังกล่าว
นายประยุทธ กล่าวอธิบายขั้นตอนการติดตามตัวว่า เมื่ออัยการได้มีคำสั่งฟ้องแล้ว แต่ตัวของนายวรยุทธ ได้หลบหนี ขณะที่คดีมีหมายจับที่ศาลได้ออกไว้แล้ว หากพบว่านายวรยุทธ อยู่ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถ้าเจอตัวที่ไหนก็สามารถจับกุมตัวมาส่งให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลได้ทันที แต่ปัจจุบันเท่าที่ทราบจากสื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายวรยุทธได้หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อตัวผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศก็ต้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งประเทศไทยเองก็มีหลักเกณฑ์นี้อยู่ใน พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 คือ 1.การจะขอให้ต่างประเทศที่ได้พบตัวนายวรยุทธ ผู้ต้องหา ที่เราต้องการนำกลับมาดำเนินคดีนั้น ประเทศไทยจะเป็นผู้ร้องขอ 2.ความผิดที่จะร้องขอให้ส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้จะต้องเป็นลักษณะความผิดอาญาของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ใช่ว่าประเทศไทยระบุเป็นความผิด แต่ประเทศที่ผู้ต้องหาไปพำนักนั้นอยู่ไม่ถือเป็นความผิดเช่นนี้เขาก็จะไม่ส่งให้ อย่างไรก็ดีสำหรับความผิดฐาน ขับรถประมาทชนคนตาย เป็นความผิดอาญาของกฎหมายทุกประเทศทั่วโลก ดังนั้นในประเด็นนี้จึงไม่มีปัญหา และความผิดที่จะร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นจะต้องมีอัตราโทษประหารชีวิต หรือจำคุกมีกำหนดอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป ซึ่งความผิดที่ได้สั่งฟ้องนายวรยุทธ ฐานขับรถประมาทฯ กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีอยู่แล้วก็ถือเป็นอัตราโทษที่เข้าเกณฑ์
3.ความผิดที่ร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นจะต้องไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับการเมือง หรือความผิดเกี่ยวกับทหาร ที่เขาจะไม่ส่งให้กัน ซึ่งคดีของนายวรยุทธก็ไม่เข้าทั้ง 2 กรณีนี้ จึงผ่าน สามารถร้องขอให้ส่งตัวได้
4.การร้องขอให้ประเทศใดส่งตัวผู้ต้องหามานั้น ก็จะต้องไปสู่หลักที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจจะโดยตำรวจไทยเอง หรือความร่วมมือกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โปล (Interpol) ก็ได้ แต่จะต้องสืบให้ได้ก่อนว่านายวรยุทธ ผู้ต้องหา พำนักอยู่ประเทศไหน เราจึงจะรู้ว่าต้องส่งคำร้องไปประเทศใด
5.เมื่อเรารู้ว่าผู้ต้องหา พำนักอยู่ประเทศใดแล้ว ต้องดูกฎหมายอีกว่าประเทศนั้นๆ กับไทยมีสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างการหรือไม่ ถ้ามีก็จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน โดยให้ตำรวจรวบรวมเกี่ยวกับเรื่องนั้นทั้งหมด เช่น ข้อเท็จจริงว่ามีการชนคนตาย , มีคำสั่งฟ้องของอัยการ , มีหมายจับของศาล รวบรวมส่งให้อัยการสูงสุดของประเทศไทย ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตามกฎหมาย และเมื่อรับข้อมูลมาอัยการสูงสุดก็จะจ่ายงานให้กับอธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศขณะนี้คือ นายชัชชม อรรฆภิญญ์ ที่มีทีมงานอัยการกองต่างประเทศ ติดต่อประสานงานกับประเทศปลายทางขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน แล้วจึงเข้าสู่กระบวนการพิจารณา กระทั่งสุดท้ายจะมีคำสั่งว่าส่งหรือไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งแต่ละประเทศก็จะมีกรรมวิธีของเขา ไม่ใช่ว่าเมื่อมีการร้องขอให้ส่งแล้วจะได้มีการส่งตัวทันที ตัวอย่างประเทศไทย เมื่อมีประเทศใดร้องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เราก็จะมีกระบวนการไต่สวนและให้ศาลมีคำสั่ง
“แต่หากเป็นกรณีที่ประเทศปลายทางไม่มีสนธิสัญญาฯ ระหว่างกันกับไทย ก็จะไปสู่การปฏิบัติตามหลักการวิถีทางการทูต ซึ่งผู้ที่จะเดินเรื่องนี้ก็คือกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่จะใช้หลักเกณฑ์ทางการทูต ประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยประการสำคัญในวิธีนี้ คือ หากประเทศไทยจะดำเนินการส่งคำร้องขอไปจะต้องแสดงเจตนาให้ชัดเจนว่า ภายหน้าในอนาคตหากมีคนของประเทศนั้นหนีมาอยู่ในประเทศไทย ถ้าเขาขอมาเราก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือเช่นกันในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างกัน”
นายประยุทธ กล่าวย้ำว่า หลักการดำเนินการที่จะส่งใครเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ต้องดำเนินการภายในอายุความ หากขาดอายุความแล้วก็ดำเนินการไม่ได้ ขณะที่คดีของนายวรยุทธ ระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนของตำรวจที่สืบหาว่าพำนักอยู่ที่ใด ซึ่งต้องสืบหาให้ได้ก่อนว่าสำนักอยู่ที่ใด จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติตามขั้นตอนขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน
เมื่อถามว่า ปัจจุบันมีข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับสถานที่พำนักของนายวรยุทธ ผู้ต้องหาแล้วหรือไม่ นายประยุทธ กล่าวว่า เป็นเรื่องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการ ในส่วนของอัยการเราจะดำเนินขั้นตอนหลังจากที่ตำรวจส่งข้อมูลและรายละเอียดมาที่เรา แล้วอัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางตามกฎหมายจะดำเนินการส่งคำร้องขอไปยังประเทศนั้นๆ ซึ่งอัยการเรามีบุคลากรของอัยการสำนักงานต่างประเทศพร้อมอยู่แล้วที่จะดำเนินการ แต่ต้องมีกระบวนการที่จะได้ข้อมูลจากทางตำรวจเสียก่อน