‘เหยื่อถูกยัดฉี่-สมชัย หนูนวล’ร้องผบก.สุราษฎร์สอบวินัยตำรวจคุม’ด่านตรวจบึงขุนทะเล’ยันผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะ
เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2562 นายสมชัย หนูนวล อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รองประธานสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดพัทลุง ในฐานะผู้ต้องหาและผู้เสียหาย จากกรณีถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีข้อหาขับรถขณะมีสารเสพยาเสพติด ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมและสอบสวนทางวินัย ต่อ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมี พ.ต.อ.ณฐกรญ์ กาญจนาภรณ์ รองผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียน
โดยเนื้อหาหนังสือระบุ ว่า เนื่องด้วยข้าพเจ้านายสมชัย หนูนวล อยู่บ้านเลขที่ 127 หมู่ที่ 11 ตำบลเขาชัยสน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจเมืองสุราษฎร์ธานี ณ จุดตรวจบึงขุนทะเล นำโดย ร.ต.อ.คชา อินทรักษ์ กับพวก จับกุมดำเนินคดีกับข้าพเจ้า ในข้อหา ขับรถในขณะมีสารเสพยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) อยู่ในร่างกาย และเสพสารเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย เมื่อระหว่างวันที่ 5 – 6 ตุลาคม 2562 โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดดังกล่าวได้ตั้งด่านตรวจบึงขุนทะเล และทำการบังคับให้ข้าพเจ้าตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจำใจที่ต้องตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดตามที่เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวสั่ง ทั้งที่บริเวณจุดตรวจดังกล่าว มิได้จัดเตรียมสถานที่ให้มิดชิดให้ถูกสุขลักษณะอนามัย แต่อย่างใด อีกทั้ง ในการตรวจหาสารเสพติดปัสสาวะตัวอย่างนั้น ก็มิได้กระทำต่อหน้าข้าพเจ้าแต่อย่างใด
ภายหลังได้มีการแจ้งข้อหาข้าพเจ้าว่า เป็นผู้เสพยาเสพติด ข้าพเจ้ารู้ซึ่งแก่ใจว่า มิได้เคยข้องเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดใด ๆ มาก่อนแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของกิจการและยังเป็นวิทยากรหรืออาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัย เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในสังคม การที่ข้าพเจ้าถูกตั้งข้อหาดังกล่าวนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมและได้ร้องขอให้ทำการตรวจซ้ำ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมได้นำข้าพเจ้าไปตรวจหาสารเสพติดไปยังโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ซึ่งข้าพเจ้าก็มิได้ส่งปัสสาวะตัวอย่างให้แก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีด้วยตนเองแต่อย่างใด และผลการตรวจจากโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีกลับมีการออกผลมาว่า พบสารเมทแอมเฟตามีนในปัสสาวะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปฏิเสธข้อกล่าวหาด้วยสงสัยว่า ปัสสาวะดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการตรวจที่จุดตรวจหรือโรงพยาบาลไม่ใช่ปัสสาวะของข้าพเจ้า แต่ด้วยความกลัว ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุม เพื่อให้สามารถมาพบพนักงานสอบสวนให้ได้โดยเร็วที่สุด เนื่องด้วยผู้ต้องหารายอื่นที่ถูกจับกุมมาพร้อมข้าพเจ้ากลับถูกปล่อยตัวไปอย่างน่าผิดสังเกต ทั้งที่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า ผู้ต้องหารายอื่นก็ถูกตรวจพบว่ามีสารเสพติดในปัสสาวะเช่นกัน
เมื่อข้าพเจ้าถูกส่งตัวมาพบพนักงานสอบสวน จึงได้ร้องขอต่อพนักงานสอบสวนขอตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติดเบื้องต้นอีกครั้ง ต่อหน้าพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ผลปรากฏว่า ไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะตัวอย่างของข้าพเจ้าแต่อย่างใด และพนักงานสอบสวนก็ได้ส่งปัสสาวะตัวอย่างนั้น ไปตรวจยืนยันผลต่อศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ 11 แต่ด้วยบันทึกการจับกุมดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าต้องถูกจับกุมคุมขังสูญเสียอิสรภาพ ทำให้ต้องเดือดร้อนหาผู้ประกันตัวและหาหลักทรัพย์ประกันตัว ซึ่งขณะนั้นเป็นยามวิการ เป็นการยากลำบากที่จะหาหลักทรัพย์มาประกันได้โดยเร็ว ทั้งที่ หากมีการรายงานผลการตรวจสอบปัสสาวะตัวอย่างของข้าพเจ้าว่า “อาจจะมีสารเสพติดในปัสสาวะตัวอย่าง” ข้าพเจ้าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหรือพนักงานสอบสวนมิอาจจับกุมคุมขังข้าพเจ้าได้ จะต้องปล่อยตัวข้าพเจ้าไปและออกหมายเรียกข้าพเจ้ามารับทราบข้อกล่าวหาในภายหลังหากมีการตรวจยืนยันผลแล้วว่า พบสารเสพติดในปัสสาวะตัวอย่างของข้าพเจ้า ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้รับการประกันตัวมาในกลางดึกของวันนั้น
ภายหลังพนักงานสอบสวนได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า ผลการตรวจปัสสาวะตัวอย่างของข้าพเจ้าที่ได้ส่งไปยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ 11 นั้น ไม่พบสารเสพติดในปัสสาวะตัวอย่าง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าแต่อย่างใด ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อโดยสุจริตใจว่า เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่นำโดย ร.ต.อ.คชา อินทรักษ์ กับพวก ที่ทำการจับกุมและตรวจปัสสาวะของข้าพเจ้านั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผลของการกระทำดังกล่าวของ ร.ต.อ.คชา อินทรักษ์ กับพวก ทำให้ข้าพเจ้าต้องสูญเสียอิสรภาพ สูญเสียเวลาและเงินทองและเสื่อมเสียชื่อเสียง
ด้วยเหตุดังกล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าพเจ้า และดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับ ร.ต.อ.คชา อินทรักษ์ กับพวก เพื่อให้ได้ซึ่งความจริงและความยุติธรรมต่อข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ และดำรงตนเป็นสุจริตชนมาโดยตลอด และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อข้าราชการตำรวจอันจะทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมัวหมองเสื่อมเสีย ด้วยคดีความดังกล่าวของข้าพเจ้าเป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป อันปรากฏต่อสื่อมวลชนไปแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า และคงไว้ซึ่งความยุติธรรม ตามกฎหมายต่อไป