ศาลปกครองเปิดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นทางเลือกใหม่ที่เรียบง่ายได้ผลเร็วส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคู่กรณี
เมื่อวันจันทร์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องสัมมนา ๒ (แนวลาด) ชั้นบี ๑ อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ สำนักงานศาลปกครองจัดแถลงข่าว เพื่อชี้แจงการเปิดดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง ตามกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่
นายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด เปิดเผยว่า ปี ๒๕๖๒ เป็นปีที่ศาลปกครองได้มีการพัฒนาการดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมในหลายๆ เรื่อง โดยไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ศาลปกครองได้เปิดใช้ “ระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์เพื่อประชาชน” ซึ่งรองรับการดำเนินการทางคดีของคู่กรณีทุกฝ่ายตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นไปจนถึงสิ้นสุดกระบวนการพิจารณา สำหรับวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒ นี้เป็นโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่จะแจ้งให้สาธารณชนทราบว่า ศาลปกครองพร้อมที่จะนำระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมาใช้ในคดีปกครองในศาลปกครองทุกศาลทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ และระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๖๒
“การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองมีเจตนารมณ์เพื่อให้คู่กรณีที่พิพาทกันมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการระงับข้อพิพาท และเป็นการส่งเสริมความร่วมมือของคู่กรณีในการยุติข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นผลดีที่ทำให้คู่กรณีสามารถยุติข้อพิพาทที่มีต่อกันได้ด้วยความเรียบง่าย รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย โดยคู่กรณีสามารถยื่นคำขอต่อศาล หรือศาลเห็นเองว่าคดีนั้นควรมีการไกล่เกลี่ย และทำการไกล่เกลี่ยได้โดยความสมัครใจของคู่กรณี การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองนี้จะดำเนินการโดยตุลาการศาลปกครองซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสำนวนคดีนั้น ทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยไม่ได้มีรูปแบบ พิธีการ หรือขั้นตอนที่เคร่งครัด เพื่อช่วยให้คู่กรณีสามารถสื่อสารความต้องการและข้อจำกัดของทุกฝ่ายได้อย่างเต็มที่ และเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน โดยมีระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน และกระชับ”
ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวด้วยว่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองจะเป็นกลไกที่สำคัญอีกกลไกหนึ่งและเป็นทางเลือกใหม่ของการระงับข้อพิพาททางปกครองที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นคู่กรณี และส่งเสริมการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายบุญอนันต์ วรรณพานิชย์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ในฐานะประธานกรรมการยกร่างอนุบัญญัติและเตรียมความพร้อมศาลปกครองในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชี้แจงว่า หลักการสำคัญของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองนั้น ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า เป็นการยุติข้อพิพาทโดยบุคคลที่เป็นกลาง ไม่ได้ชี้นำหรือตัดสินข้อพิพาทนั้นเอง แต่มีบทบาทหน้าที่ในทางส่งเสริมให้คู่พิพาทสามารถเข้าใจความต้องการและข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย และยอมรับให้ข้อพิพาทยุติลงได้โดยความสมัครใจของคู่พิพาทเอง โดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองมีหลักการสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้
๑. หลักการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่ว่าจะปรากฏผลเช่นใด ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย
๒. หลักความสมัครใจของคู่กรณี กล่าวคือ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองยึดถือความสมัครใจของคู่กรณีที่พิพาทกันเป็นสำคัญ
๓. หลักความไว้วางใจของคู่กรณี ซึ่งหมายถึงว่า การจะให้ข้อพิพาทสามารถยุติลงหรือระงับได้นั้น ต้องเริ่มจากการที่คู่พิพาท “เปิดใจ” ที่จะแสดงออกถึงความต้องการของตนได้อย่างเต็มที่ รับฟังความต้องการหรือข้อจำกัดของคู่พิพาทฝ่ายอื่น และยอมรับผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่อาจตรงกับหรือแตกต่างจากความต้องการหรือความคาดหวังของตนที่เคยมี ซึ่งการที่จะให้คู่พิพาท “เปิดใจ” ต่อกันได้นั้น ต้องดำเนินการโดยให้คู่กรณีมีความไว้วางใจต่อกัน โดยมีหลักประกันให้เห็นว่า สิ่งต่างๆ บรรดาที่คู่กรณีได้เปิดเผยต่อกันในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คู่กรณีสามารถเปิดเผยต่อกันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือให้เป็นผลร้ายต่อตนในภายหลัง
๔. หลักความเป็นกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เป็นหลักการสำคัญอีกข้อหนึ่งของการไกล่เกลี่ยในคดีปกครอง เพราะคดีปกครองเป็นคดีพิพาทที่มีลักษณะเป็นคดีที่มีผลกระทบทั้งต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล และต่อการใช้อำนาจหรือการดำเนินกิจการทางปกครองและการบริการสาธารณะหรือการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้คู่กรณีและสังคมมีความเชื่อมั่นต่อระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง จึงต้องมีหลักความเป็นกลาง โดยในระยะเริ่มต้นของการนำเอาระบบนี้มาใช้ กฎหมายบัญญัติให้ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต้องวางตนเป็นกลาง และปราศจากอคติในการปฏิบัติหน้าที่ และมาตรา ๖๖/๔ วรรคสาม ยังบัญญัติว่าผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ได้แก่ ตุลาการศาลปกครอง ซึ่งไม่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีในสำนวนคดีนั้น
๕. หลักความมีประสิทธิภาพของการพิจารณาคดีและการบริหารจัดการคดี การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองจะช่วยให้ข้อพิพาทมีโอกาสที่จะยุติลงและระงับไปได้ โดยไม่ถึงขั้นที่ต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีเต็มรูปแบบปกติ ซึ่งนอกเหนือจากผลดีที่คู่กรณีที่พิพาทกันจะสามารถยุติข้อพิพาทกันได้แล้ว ยังมีผลในทางที่จะทำให้คดีที่ศาลต้องทำการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปมีจำนวนลดลง ซึ่งจะทำให้ศาลสามารถทุ่มเทความรู้ความเชี่ยวชาญสำหรับคดีที่ยังคงมีข้อพิพาทกันอยู่ได้มากยิ่งขึ้น
นายบุญอนันต์ กล่าวอีกว่า ตามหลักการของกฎหมาย กำหนดให้ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง เป็นการดำเนินการโดยศาลชั้นเดียว และให้คดีพิพาทที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นใดเป็นคดีที่อาจมีการไกล่เกลี่ยได้ในศาลชั้นนั้น หมายความว่า ศาลปกครองชั้นต้นก็มีอำนาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุดก็มีอำนาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดซึ่ง “ฟ้องเป็นครั้งแรก” ต่อศาลปกครองสูงสุด อันหมายถึง คดีที่ไม่ใช่คดีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยเหตุผลที่ต้องกำหนดหลักการนี้ก็เพื่อให้ระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสามารถทำหน้าที่เป็นทางเลือกของการยุติข้อพิพาทได้อย่างแท้จริงและเหมาะสม
สำหรับลักษณะของคดีที่ศาลปกครองมีอำนาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้นั้น กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดี (๑) คดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ (๓) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และ (๔) คดีพิพาทอื่นตามที่กำหนดในระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งในอนาคตอาจมีคดีพิพาทประเภทอื่นๆ อีกที่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกันได้
นอกจากนี้ กฎหมายได้กำหนดกรณีที่มีลักษณะห้ามไม่ให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ด้วย ซึ่งกรณีเหล่านั้นเป็นไปตามหลักทั่วไปของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เช่น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่เป็นการฝ่าฝืนหรือต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่มีผลกระทบต่อสถานะของบุคคลหรือมีผลกระทบในทางเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อการบังคับใช้กฎหมาย หรือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่อยู่นอกเหนือสิทธิ อำนาจหน้าที่ หรือความสามารถของคู่กรณี เป็นต้น
สำหรับกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น สามารถริเริ่มให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้นับแต่มีการฟ้องคดี จนถึงวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยอาจมีการริเริ่มได้โดยคู่กรณี คือ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยื่นคำขอ หรือทั้งสองฝ่ายยื่นคำขอร่วมกัน หรือริเริ่มโดยศาลเห็นเอง ทั้งนี้ ระยะเวลาการดำเนินการไกล่เกลี่ยกำหนดให้มีความชัดเจน และกระชับ คือ ให้ดำเนินการภายใน ๙๐ วันนับแต่ “วันนัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งแรก”
ผลการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทอาจเกิดขึ้นได้ ๓ ลักษณะ กล่าวคือ ๑) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำเร็จและทำให้คดีเสร็จสิ้นไปทั้งหมด ซึ่งหลังจากที่ศาลตรวจดูข้อตกลงและสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลก็จะมี “คำพิพากษาตามยอม” ๒) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำเร็จและทำให้คดีเสร็จสิ้นไปบางส่วน กรณีนี้ศาลจะจดรายงานแสดงข้อความแห่งข้อตกลงในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้ และพิจารณาประเด็นที่ยังพิพาทกันต่อไปแล้วนำมารวมพิพากษาไปในคราวเดียวกัน หรือ ๓) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไม่สำเร็จ ศาลก็จะดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป