จับผู้ร้ายได้ไม่ถือเป็นความชอบป้องกันเหตุร้ายไม่ได้คือความบกพร่อง-พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร             

ยุติธรรมวิวัฒน์

สังคมไทยในเวลานี้ ล้วนเต็มไปด้วย ภัยอันตรายรอบด้าน ตั้งแต่อุบัติเหตุจราจรซึ่งเป็นความเสี่ยงในชีวิตประจำวันของประชาชนทุกเพศวัยทั่วไปสูงกว่าประเทศใดในโลก!

การทะเลาะวิวาท ถูกทำร้าย ถูกฆ่าตาย ถูกหลอกลวงฉ้อโกง หรือบุกรุกเข้าไปลักทรัพย์หรือจี้ปล้นแม้กระทั่งในบ้านพักอาศัยหรือสถานที่ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย

เช่น การปล้นร้านทองที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งมีประชาชนถูกฆ่าไปถึงสามคนและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง

หรือกรณีที่คนร้ายยิงปืนใส่รถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่จอดอยู่ในย่านสีลมอย่างอุกอาจ

โดยเจ้าตัวบอกว่า น่าจะเพื่อหวังผลต่อการเปิดเผยข้อมูลการปฏิบัติมิชอบในการจัดซื้อเครื่องตรวจเอกลักษณ์บุคคลมูลค่า 2,100 ล้านบาทของตำรวจแห่งชาติที่มีผู้ร้องเรียนไว้ต่อ ป.ป.ช.เป็นสำคัญ!  

ซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครได้ยินประธาน ป.ป.ช. หรือผู้รับผิดชอบคนใดแถลงว่ากรณีดังกล่าวเป็นการร้องเรียน กล่าวหาใครว่ามีพฤติการณ์ปฏิบัติมิชอบ และ  ทำให้รัฐเสียหายอย่างไร? มากน้อยเท่าใด? รวมทั้งการรวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้าไปเพียงใด และจะสรุปแจ้งให้ประชาชนทราบได้เมื่อใด?

นอกจากนี้ คดียิงปืนใส่รถข่มขู่ก็ยังมีปัญหา โดยไม่มีใครรู้ว่าใครคือผู้รับผิดชอบกันแน่ และไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร ได้รับการ “สั่ง” หรือจ้างวานจากผู้ใด การจะจับตัวคนร้ายและผู้บงการมาดำเนินคดี ต้องใช้เวลานานอีกกี่เดือนหรือ กี่ปี?

ปัญหาอาชญากรรมที่ ร้ายแรงและชุกชุม เช่นนี้   สวนทางกับสถิติคดีอาญาของตำรวจที่รายงานต่อรัฐบาลและประชาชนว่าลดลงตลอดมาอย่างสิ้นเชิง!

เนื่องจากปัจจุบันคดีที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด   พนักงานสอบสวน ผู้มียศแบบทหาร จะถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการในทางพฤตินัยให้ลงบันทึกประจำวันแบบ ไม่มีเลขคดีอาญา เพื่อ หลอก ประชาชนผู้แจ้งความร้องทุกข์หรือกล่าวโทษไว้ ให้ตายใจ และจะได้ไม่ต้องสรุปสำนวนส่งอัยการเพื่อตรวจสอบและสั่งคดี แทบทั้งสิ้น!

สถิติคดีที่ลดลงสวนทางกับความเป็นจริงดังกล่าว ทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคิดว่า  ประชาชนไม่ได้ประสบปัญหาอาชญากรรมในระดับที่รุนแรงแต่อย่างใด?

จึงไม่ได้สนใจต่อการแก้ปัญหาตำรวจหรือการปฏิรูปอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบควบคุมมิให้มี การรับส่วยสินบนจากแหล่งอบายมุขที่เป็นแหล่งเพาะอาชญากรรม ของตำรวจผู้ใหญ่

หรือสั่งการให้เร่งปฏิรูปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้  เพื่อให้ระบบงานตำรวจและการสอบสวนของไทย เข้าที่เข้าทาง ในระดับหนึ่งโดยเร็ว

ในอดีต งานรักษากฎหมายของประเทศโดยเฉพาะส่วนภูมิภาค รัฐได้กำหนดให้ผู้ว่าฯ ผู้เป็นหัวหน้าข้าราชการสูงสุดของจังหวัด เป็นผู้ควบคุมกลไกต่างๆ ในการตรวจตราสอดส่องป้องกันไม่ให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย   ไม่ว่าจะเป็นความผิดที่ประชาชนหรือรัฐเป็นผู้เสียหายทำลายสังคม เช่น การเล่นหวยใต้ดิน บ่อนการพนัน และแหล่งอบายมุขทุกชนิด

มีสถานีตำรวจอำเภอและหน่วยตำรวจจังหวัดเป็นมือไม้สำคัญในการปฏิบัติ 

จึงได้มีการจัดตั้ง กรมตำรวจ ขึ้นเป็นหน่วยราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย

จับผู้ร้ายได้

กำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาชญากรรมในหมู่บ้านและตำบล ทำงานประสานกับตำรวจอย่างใกล้ชิด

ส่วนการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับคนร้ายไปส่งให้อัยการฟ้องศาลลงโทษ เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครอง คือจังหวัดและอำเภอ

ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมโดยกระทรวงมหาดไทยนั้น ปรากฏในกฎกระทรวงที่ 1  วันที่ 26 สิงหาคม 2465 ลงนามโดย มหาอำมาตย์นายกเจ้าพระยายมราช ผู้เป็นเสนาบดี เรื่อง ให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ออกไปสืบจับผู้ร้าย เป็นภาษาในยุคนั้นดังนี้

1.เมื่อเกิดเหตุอุกฉกรรจ์ ปล้น ชิงทรัพย์ ฆ่ากันตาย ขึ้นในท้องที่ใด เมื่อใด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดกับผู้บังคับกองตำรวจจังหวัดนั้นๆ ต้องออกไปหรือแยกกันไปสืบและไต่สวนในที่เกิดเหตุด้วยตนเองในทันใด ถ้าไปไม่ได้ด้วยเหตุใด ให้รายงานชี้แจงส่งตามลำดับชั้นจนถึงกระทรวง

2.ถ้าในคดีเรื่องใดยังไม่ได้ตัว หรือยังไม่ได้หลักถาน หรือของกลาง ก็ให้ผลัดเปลี่ยนกันอยู่ทำการสืบสวนโดยเต็มกำลังและความสามารถ

3.ถ้าผู้ร้ายหลบหนีไปที่ใดในจังหวัดใด ในมณฑลใดภายในพระราชอาณาจักร ก็ให้แยกย้ายกันติดตามไปโดยแขงแรงให้ถึงที่สุดเต็มความสามารถ เพื่อให้ได้ตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมาย ถ้าเป็นเรื่องสำคัญก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกติดตามไปด้วยตนเอง

4.ถ้าเรื่องใดสิ้นความสามารถแน่แล้ว ก็ให้รายงานชี้แจงการที่ได้กระทำไปแล้วมาให้ทราบ

5.ในเรื่องอั้งยี่ สมาคมมั่วสุมประชุมกันที่ผิดกฎหมาย  อันเป็นเหตุร้าย ให้ทำการสืบหาหลักถาน แลจัดการโดยแขงแรง เพื่อทำลายและฟ้องร้องหรือจัดการเนรเทศเสียให้จงได้

6.ถ้าท้องที่ใดจังหวัดใดเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม ให้สมุหเทศาภิบาล ปลัดมณฑล ผู้บังคับการตำรวจมณฑลแยกกันออกไปประจำจัดการอยู่ในท้องที่อำเภอนั้นๆ จนกว่าจะสงบเรียบร้อยแล้วจึงให้กลับ

7.ให้เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ทุกชั้นจงเป็นที่เข้าใจไว้ให้แน่ชัดว่า การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเปนความชอบ  เปนแต่นับว่าผู้นั้นได้กระทำการครบถ้วนแก่น่าที่เท่านั้น แต่จะถือเปนความชอบต่อเมื่อได้ปกครองป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและทรัพย์สมบัติของข้าแผ่นดินในท้องที่นั้น อยู่เย็นเปนปรกติศุขพอสมควร เพราะไม่มีเหตุการณ์หรือมีแต่น้อยเป็นการจรแปลกมา 

 แลจะถือเป็นความผิด ความบกพร่อง เมื่อการปกครองยุ่งยิ่งไม่เรียบร้อย เพราะปราบปรามโจรผุ้ร้ายไม่ราบคาบก็ตาม หรือเพราะแตกความสามัคคีในฝ่ายเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ไม่กลมเกลียวกันด้วยแย่งยื้อถืออำนาจไม่เป็นผู้ใหญ่ผู้น้อย อันเปนต้นเหตุให้เกิดเสียหายแก่ราชการก็ตาม ให้ผู้บังคับบัญชาทุกชั้นจงถือเปนข้อสำคัญที่จะระมัดระวังและจัดการตามอำนาจในทันใด แลด้วยเหตุนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาทุกชั้นงดการขอบำเหน็จความชอบในเรื่องเจ้าพนักงานจับผู้ร้ายได้ตั้งแต่บัดนี้ไป นอกจากจะขอให้แก่กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน และราษฎรที่ช่วยเจ้าพนักงาน หรือขอบำเหน็จบำนาญเปนเงินซึ่งมีระเบียบอยู่แล้ว หรือที่จะมีต่อไปเปนแต่ให้รายงานการกระทำว่ามีผลเพียงไรเท่านั้น 

จะเห็นได้ว่า ระบบและมาตรฐานงานป้องกันอาชญากรรมและรักษากฎหมายของรัฐไทยเมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอะไรนั้น สูงกว่าปัจจุบันมาก! 

ตำรวจทำงานเป็นมือเป็นไม้และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ซึ่งควบคุมกลไกสำคัญในท้องถิ่นคือ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน

จังหวัดและอำเภอมี เอกภาพในการบังคับบัญชา ข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรมในท้องที่และมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

แค่เกิดเหตุชิงทรัพย์ ก็บังคับให้ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจต้องไปช่วยกันสืบจับคนร้ายด้วยตนเอง

และเมื่อจับได้แล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นความชอบอะไรที่ต้องได้รับการตอบแทนจากราชการอีกด้วย

ซ้ำยังนับเป็นความบกพร่อง เนื่องจากไม่สามารถป้องกันอาชญากรรมทำให้สังคมเกิดความสงบสุขได้!

ต่างจากปัจจุบัน ที่เมื่อเกิดเหตุร้ายแล้ว  ประชาชนมักเห็นตำรวจผู้ใหญ่ซึ่งหลายคน ประชาชนก็รู้ดีว่า รับส่วยสินบนจากแหล่งอบายมุข” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาอาชญากรรมนั้นอยู่ทุกเดือน!

ทำตัวเป็นพระเอก สั่งการและให้ข่าวต่อสื่อโขมงโฉงเฉงอย่างนั้นอย่างนี้ และเมื่อจับคนร้ายได้ ก็คุมตัวมานั่งแถลงข่าวกันด้วยความภาคภูมิใจ!

ในอดีต เมื่อเกิดเหตุร้าย ข้าราชการผู้รับผิดชอบการรักษากฎหมายต่างรู้สึก เสียใจ เนื่องจากตนเองบกพร่องในป้องกันอาชญากรรม ไม่สามารถทำให้ประชาชนดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย และ อยู่เย็นเป็นสุข ได้.

 

จับผู้ร้ายได้
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 13 ม.ค. 2563

About The Author