ภรรยานักธุรกิจทัวร์จีนร้องประธานศาลฎีกา-กต. สามีถูกแกล้งคดีฉ้อโกงคุมขังกว่า5เดือนขอประกันตัวใม่ได้ทั้งที่หลักประกันสูงกว่ามูลค่าความเสียหายและพร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไข
เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2563 มีรายงานว่า นางพนัชกร แซ่โค้ว ภรรยาของนายอัมพล แซ่ตัน นักธุรกิจทัวร์จีน ชาว กทม. ซึ่งเชื่อว่าสามีถูกกลั่นแกล้งจนตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง ได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงประธานศาลฎีกา, คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และสื่อมวลชน ลงวันที่ 8 เม.ย. 2563 เรื่อง “ขอร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม” เพื่อขอให้สามีได้รับการประกันตัวหลังถูกคุมขังมากว่า 5 เดือน
โดยหนังสือร้องเรียนมีเนื้อหาระบุว่า ด้วย ดิฉัน นางพนัชกร แซ่โค้ว ภรรยาของนายอัมพล แซ่ตัน รู้สึกอัดอั้นใจอย่างเป็นที่สุดที่บุคคลในกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นศาล อันเป็นที่พึ่งสุดท้ายปฏิบัติและกระทำกับประชาชนอย่างไร้เหตุผลและไร้ความเมตตาปราณี โดยมูลเหตุนี้มีข้อเท็จจริงดังนี้
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 นายอัมพล แซ่ตัน สามีของดิฉัน ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลแขวงสมุทรปราการ ที่ 197/2562 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 และถูกควบคุมตัวมาโดยตลอด ที่ผ่านมาดิฉันและบุตรพยายามยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวมาโดยตลอดแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยอ้างเหตุคดีทุนทรัพย์สูง เกรงที่จะหลบหนี รายละเอียดปรากฏตามเอกสารคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว และคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยตัวชั่วคราว ท้ายหนังสือร้องเรียนนี้ ซึ่งได้ยื่นมาเป็นจำนวนหลายครั้งมากนับตั้งแต่สามีของดิฉันถูกควบคุมตัวและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำสมุทรปราการ อันเป็นที่โจษขานกันทั่วเรือนจำและที่ศาลแขวงสมุทรปราการว่า คดีนี้เล็กน้อยแค่นี้ทำไมประกันตัวยากเย็นนัก ทั้งที่เมื่อเปรียบเทียบคดีนี้กับคดีรายอื่นๆ ซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่า ทุนทรัพย์สูงกว่าเป็นหลายเท่าแต่กลับได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
แต่คดีของสามีดิฉันนั้นเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวและอัตราโทษไม่สูง และรูปคดีสามีของดิฉันให้การปฏิเสธต่อสู้คดี ทั้งในชั้นสอบสวนและการพิจารณาคดีมาโดยตลอด กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเห็นใจจากศาลที่นั่งพิจารณา เพราะเกรงว่าการให้ความเป็นธรรมและถูกต้องนั้น ตัวเองอาจโดนครหาเพราะสั่งกลับความเห็นศาลท่านอื่น โดยมิได้คำนึงถึงความถูกต้องเป็นธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลเดือดร้อนจากการกระทำนั้น ทั้งที่ในการยื่นปล่อยขอตัวชั่วคราวนั้น ก็เพื่อให้สามีของดิฉันได้มีโอกาสออกมาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ตามสิทธิมนุษยชนและสิทธิของจำเลยในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยสามีของดิฉันได้เคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อศาลชั้นต้น ได้ไต่สวนให้ได้ความจริงเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายและพฤติการณ์หลบหนีตามคำคัดค้านก่อน เพื่อให้การพิจารณาสั่งปล่อยตัวชั่วคราวเป็นไปด้วยความเป็นธรรม และศาลจะได้ความจริงถึงเรื่องจำนวนทุนทรัพย์ที่เสียหาย เพื่อจะได้กำหนดให้สามีของดิฉันวางหลักประกันตามความเป็นจริงและเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนดหรือตามที่ศาลจะเห็นสมควร นอกจากนี้ จะได้ทราบถึงพฤติการณ์ต่างๆ ตามที่ผู้เสียหายและพนักงานอัยการโจทก์คัดค้านตามคำร้องนั้นเป็นความจริงหรือมีเหตุผลตามสมควรหรือไม่ เนื่องจากสามีของดิฉันได้รับผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิและได้รับความเสียหายตามคำคัดค้านดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยถูกคุมขังระหว่างการสอบสวนและการพิจารณาคดี จากเหตุกล่าวอ้างที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและไม่มีโอกาสออกมาต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันถูกคุมขังมาเป็นเวลานานถึง 5 เดือนเศษ ซึ่งนับว่าเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
ซึ่งศาลชั้นต้นนั้น นอกจากจะไม่พิจารณาคำร้องโดยถี่ถ้วนก่อนด้วยการไต่สวนให้ได้ความ โดยเรียกโจทก์มาสอบถามหรือพิจารณาจากเอกสารหลักฐานแนบท้ายคำร้อง ซึ่งจำนวนมูลค่าความเสียหายและการชดใช้ก่อนหน้านั้นมีความชัดเจนอยู่ในตัวว่ามีจำนวนไม่ตรงกับคำฟ้องและหนังสือคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นยังคงใช้เหตุผลเดิมเป็นเหตุผลในการสั่งยกคำร้อง ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับเหตุผลและข้อเท็จจริงเพราะหากพิจารณาถึงเหตุผลข้อโต้แย้งกับจำนวนมูลค่าความเสียหาย ซึ่งเหลือประมาณ 17,800,000 บาท โดยหลักประกันที่จะนำมาเป็นหลักประกันในการขอปล่อยตัวชั่วคราวมีมูลค่า 43,515,000 บาท ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบหลักประกันที่ใช้ในการขอปล่อยตัวชั่วคราวกับความเสียหายที่ยังไม่ได้รับคืนนั้น จึงไม่ได้สูงตามคำกล่าวอ้างที่ใช้เป็นเหตุผลแต่อย่างใด
ดิฉันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเสียเลยจากดุลยพินิจของศาล และเมื่อใช้สิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งแล้ว ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นกันและคำสั่งเป็นที่สุดอยู่แค่นี้ จำเป็นต้องยื่นครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งที่สามีของดิฉันได้ให้คำมั่นต่อศาล ว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วจะไม่หลบหนีและจะมารับฟังการพิจารณาคดีตามที่ศาลนัดทุกครั้ง ทั้งยังยินยอมที่จะรับเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวที่ศาลจะกำหนดทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นกรณีให้ส่งมอบหนังสือเดินทางไว้ต่อศาล และยินยอมที่จะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางก็ได้ ประกอบกับได้นำหลักทรัพย์ซึ่งมีทั้งเงินสด แคชเชียร์เช็คและโฉนดที่ดินมาวางเป็นหลักประกัน ซึ่งรวมแล้วมีจำนวนมากเกินกว่าความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาวางเป็นหลักประกันต่อศาลด้วย แต่ศาลยังคงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวสามีของดิฉันเป็นการชั่วคราว เนื่องจากไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
นอกจากนี้ สามีของดิฉันได้เคยยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปแล้วหลายที่ในลำดับการบังคับบัญชาของศาลยุติธรรม อาทิเช่น ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสมุทรปราการ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 รวมถึงประธานศาลฎีกา ก็ยังคงนิ่งเฉยไร้คำตอบหรือคำอธิบายชี้แจง
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ประธานศาลฎีกาได้ออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Diesase : COVID-19) ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 2 เมษายน 2563 ข้อ 7 ระบุว่า “การพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในทุกชั้นศาล ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการขยายโอกาสในการเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราว พ.ศ. 2562 และเพื่อมิให้เป็นการเพิ่มความแออัดในเรือนจำอันอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งไม่เคยถูกคุมขังมาก่อน หรือจำเลยที่เคยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาก่อน หรือจำเลยซึ่งมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี แม้ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หรือยังไม่ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์หรือฎีกา ศาลอาจพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับที่อยู่ของจำเลยหรือเงื่อนไขอื่นใด เช่น การให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดที่สามารถตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทางของจำเลยหรืออาจมีคำสั่งแต่งตั้งผู้กำกับดูแลจำเลยตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560…”
สามีของดิฉันได้ดำเนินการทำคำแถลงประกอบคำร้องของปล่อยตัวชั่วคราวไว้รอเพื่อยื่นแล้ว แต่จำเป็นต้องรอเพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมอีก จึงมีความจำเป็นต้องอาศัยประธานศาลฎีกา/คณะกรรมการตุลาการ/สื่อ เป็นที่พึ่ง เพราะไม่มีความมั่นใจประชาชนผู้บริสุทธิ์จะหวังพึ่งความยุติธรรมได้อีกหรือไม่ ท้ายสุดนี้หากยังไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจริงๆ จะขอยื่นถวายฎีกาต่อไป