ฉาวรายวัน!7ตร.สภ.แม่อาย เชียงใหม่ จับหญิงวัย22พร้อมลูกน้อย1ขวบพาขึ้นดอยรีด3แสนอ้างนำพาต่างด้าวผัวสุดแค้นโวยผ่านโซเชียล!ตร.ติดต่อคืนเงินขอให้จบเรื่อง
เมื่อวันที่ 9 มี.ค.2563 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ TS’Thanaphon Eagleline ได้แชร์คลิปและภาพเอกสารการร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เมื่อวันที่ 11ก.พ.2563 ของน.ส.พิมพ์ชนก ปทุม โดยมีข้อความว่า “ เงินเดือนพวกคุณไม่พอใช้หรือครับ?ถึงได้จับเด็กและผู้หญิง มาข่มขู่!รีดไถ เป็นเงินสามแสนบาท สน.แม่อาย คับ!!!”
โดยคลิปดังกล่าวพบถ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งพร้อมรถตำรวจ พูดภาษาเหนือ บอกให้หยุดถ่าย ถ้าถ่ายเดี๋ยวจะไม่ช่วยให้แล้วนะ สำหรับผู้ใช้เฟซบุ๊ก ดังกล่าวคือ นายฐานะพล เสาวคนธ์ อายุ 45 ปี เปิดร้านอาหารอยู่ในพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ที่นำเรื่องดังกล่าวลงโซเชียล เพื่อระบายความคับแค้นใจที่ครอบครัวตนถูกระบบราชการทำร้ายมากเกินไป โดยตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอุ้มภรรยาและลูกชายตนไปกักขังหน่วงเหนี่ยวและรีดเงินไปถึง 3 แสนบาท
ส่วนภรรยาคือ นางพิมพ์ชนก ปทุม อายุ 22 ปี เล่าว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.พ.63 ช่วงเวลาบ่ายโมง ตนและลูกชาย คือ ด.ช.อีเกิ้ล อายุ 1 ขวบ 11 เดือน ซึ่งเป็นลูกของตนเองกับนายฐานะพล ได้เดินทางไปงานแต่งญาติที่บ้านโป่งงาย ต.แม่สาว อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ขากลับได้อาศัยนั่งรถคนในหมู่บ้านกลับ ระหว่างทางได้มีตำรวจหลายนายได้เข้าตรวจสอบรถและทำการตรวจบัตรประชาชน ตรวจปัสสาวะ แต่ไม่พบสารเสพติด แต่ตนมีแค่บัตรสีชมพูหรือบัตรต่างด้าว และไม่ได้พกมา จึงถูกหนึ่งในเจ้าหน้าที่ขับรถพาตนและลูกชาย พร้อมคนในหมู่บ้านอีก 2 คน และเด็กสาวอีก 1 คน ขึ้นไปเจรจากันในป่าบนดอย ซึ่งตนก็โวยวายว่าทำไมไม่พาไปโรงพัก ต่อมาจึงมีการนำมาควบคุมไว้ที่ป้อมแม่สาว รวมผู้ใหญ่ 3 คน เด็ก 2 คน แจ้งข้อหา มีเรียกเงินจำนวน 1 แสน พอรู้ว่ามีเงินมีทองก็เรียกอีกรอบ 5 แสนบาท อ้างว่า เป็นนำพาต่างด้าวให้ที่ซุกซ่อน
นางพิมพ์ เล่าอีกว่า ตอนแรกเอาบัตรไปกดก่อนจำนวน 8 หมื่นบาท แต่ก็ไม่พอ จึงพาตนไปโอนให้เพิ่มอีก 6 หมื่นบาท ถ้าเงินไม่ครบไม่ยอมปล่อย โดยมีผู้หญิงมีอายุ อ้างตัวเป็นแม่หลวงหรือผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์ อาสาออกเงินให้ก่อนอีก 1.6 แสนบาท จึงถูกปล่อยตัวตอนเวลา 2 ทุ่มของวันเดียวกัน คือวันที่ 3 ก.พ. และต่อมาแม่หลวงคนดังกล่าวจึงมาทวงทางชาวบ้าน และสามีตนจึงโอนเงินไปให้อีก 1.6 แสนบาท รวมทั้งหมด 3 แสนบาท
นายฐานะพล กล่าวเพิ่มว่า หลังเกิดเรื่องตนและภรรยาได้เดินทางไปร้องเรียนที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ก็มีคนในพื้นที่หลายคนเป็นตัวแทนเข้ามาเจรจาขอคืนเงิน และขอไปถอนการร้องเรียนทุกอย่างให้หมด และระหว่างที่ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์รายละเอียดเหตุการณ์ดังกล่าว ก็มีผู้ใหญ่ในพื้นที่ขอเป็นตัวแทนเจรจาเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายอีกด้วย
ต่อมาช่วงก่อนเที่ยง วันที่ 10 มี.ค. ผู้เสียหายทั้งสองได้เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจ ภูธรภาค 5 ติดตามความคืบหน้าของคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับเรื่องร้องเรียนไว้ แจ้งว่าขณะนี้ ทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้รับเรื่อง และส่งเรื่องไปให้ที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ โดยพล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผบช.ภ. 5 ได้กำชับถึงเจ้าหน้าที่ รับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้และสืบสวนสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา หากพบการกระทำความผิดของ ตำรวจจริง จะลงโทษสถานหนักทั้งวินัยและอาญา
ด้านพล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่า เบื้องต้นได้รับการร้องเรียนถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ โดยจากข้อมูลที่ร้องเรียนมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แล้วมีลักษณะของการทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเรียกรับเงินซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูล ยืนยันว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมาไม่มีละเว้น
ขณะที่ พ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผกก.สภ.แม่อาย ได้นำตำรวจในสังกัดทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตรจำนวน 7 นาย เดินทางมาจาก อ.แม่อาย เข้ารายงานตัวต่อ พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้งถ่ายรูปทีละคนเพื่อให้ทางผู้เสียหายได้ดู
ส่วนพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ได้มีคำสั่งให้ สถานีตำรวจภูธรแม่อาย จว.เชียงใหม่ ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิด ขึ้น พร้อมให้ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง จำนวน 7 นาย ไปปฏิบัติราชการยัง ศูนย์ปฏิบัติการ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้การสืบสวนข้อเท็จจริง เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใส โดย หากผลการสืบสวนข้อเท็จจริง มีมูลว่าได้กระทำความผิด หรือ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้ดำเนิน การทางวินัยอย่างเด็ด
โดยในส่วนการดำเนินคดีอาญานั้น เบื้องต้นผู้เสียหายจะเข้าร้อง ทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีกับข้าราชการ ตำรวจที่เกี่ยวข้อง โดยพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน ภายในระยะเวลา 30 วัน แล้วส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ทั้งนี้ หากผลการสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในทางมิชอบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดในทุกฐานความผิด ลงทัณฑ์ทางวินัยอย่าง ถึงที่สุด ฟันไม่เลี้ยง ไม่เอาไว้เป็นเยี่ยงอย่างให้เสียกำลังใจของข้าราชการตำรวจที่ประพฤติปฏิบัติดี ประกอบกับได้กำชับดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส และให้ความเป็น ธรรมกับประชาชน.