อดีตรองผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ฟ้องศาลฯเอาผิดผบ.ตร.โยกย้ายไม่เป็นธรรมปมโดนสุ่มตรวจทรงผม รองโฆษกตร.โต้กลับไปปลุกระดมไม่ให้ตัดผมตามระเบียบ

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2563  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี พ.ต.อ.ไพรัตน์ ไพพรรณรัตน์ รองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 อดีตรอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี เดินทางมายื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีใช้อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายโดยมีมูลเหตุจูงใจด้านอื่น

 

พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวถึงที่มาของการฟ้องคดีว่า ตนได้เคยทำบันทึกกล่าวหายื่นต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ขอความเป็นธรรมพิจารณาเป็นที่พึ่งกับตน กรณีถูกนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.นายหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานจเรตำรวจออกสุ่มตรวจทรงผม เมื่อประมาณกลางปี 2561 แต่ปรากฏหลักฐานว่า จากจำนวนข้าราชการตำรวจทั่วประเทศประมาณ สองแสนกว่านาย ได้มีการกำหนดตัวของตนเองเป็น “เป้าหมาย 1”แต่เมื่อพบว่าตนในฐานะเป้าหมาย 1 ได้ตัดผมเรียบร้อยตามระเบียบ ก็ไม่ยอมจบ ได้ไปนำภาพถ่ายเก่ามาเป็นเหตุสั่งประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เมื่อตนทำบันทึกกล่าวหานายตำรวจยศ พล.ต.อ.ดังกล่าว ไปถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2562 แต่มีคำสั่งที่ผ่านมา ให้ย้ายจากรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ไปเป็นรองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9

 

“การโยกย้ายมีมูลเหตุจูงใจด้วยสาเหตุดังกล่าว ไม่ได้กระทำไปเพื่อประโยชน์ต่อทางราชการ แต่กระทำไปเพื่อมุ่งหวังให้เกิดความเสียหายแก่ผม อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยในเรื่องการโยกย้ายที่ผ่านมาผมไม่เคยมีปัญหา แต่เมื่อเป็นการโยกย้ายโดยไม่สุจริต จึงต้องขอมาใช้สิทธิร้องต่อศาล โดยนำพยานหลักฐานเป็นความเห็นที่มีการตั้งสอบความประพฤติของตนเอง และแผ่นอัดเสียงสนทนาระหว่างผมกับนายตำรวจระดับสูง เพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุจูงใจที่นำมาฟ้องร้องคดีนี้”พ.ต.อไพรัตน์ กล่าว

 

พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวอีกว่า ตนเป็นตำรวจผ่านการโยกย้ายมาเป็นสิบครั้ง จะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การย้ายครั้งนี้มันมีมูลเหตุอื่น ทั้งที่ตนเองก็ได้ทำหนังสือชี้แจงเหตุผลถึงคำสั่งย้ายดังกล่าวที่ไม่มีความเหมาะสม ทั้งที่ตนเองก็อบรมหลักสูตรของสถาบันหนึ่ง ที่มีมติ ครม.อนุมัติ แต่กลับย้ายตนจากประเด็นมูลเหตุที่ไม่ใช่เพื่อทางราชการ ที่มีการสอบความประพฤติตนจากผู้บังคับบัญชา ก็พบว่าความประพฤติตนไม่มีความเสียหาย มีผลงานชัดเจน การที่มายื่นฟ้อง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ไม่ได้ต้องการท้าชน หรือลองดีแต่อย่างใด แต่เป็นการฟ้องตามหลักการ เพราะ ผบ.ตร. เป็นผู้อนุมัติคำสั่งโยกย้ายตำรวจทั้งหมด ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว แต่ ผบ.ตร.ก็ไม่ได้นำไปพิจารณา

 

ส่วนความขัดแย้งกับรอง ผบ.ตร. คู่กรณีที่คอยตามกลั่นแกล้งตนมาตลอดนั้น พ.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวว่า ขอไม่เปิดเผย เพราะเป็นข้อมูลในสำนวนฟ้อง แต่เปิดเผยเพียงว่า รอง ผบ.ตร. คนดังกล่าวเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนนายร้อยตำรวจกับ ผบ.ตร. และนายตำรวจระดับสูงผู้เคยกล่าวทำนองข่มขู่ว่าจะตามเอาผิดตนตลอด โดยมีคลิปเสียงเป็นพยานได้

 

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ว่า ประเด็นการแต่งตั้งโยกย้ายอยากให้ดู ผบ.ตร. เป็นแบบอย่างสมัยที่ท่าดำรงตำแหน่ง สว.รถสายตรวจ เมื่อมีการเปลี่ยนผู้บังคับบัญชาในอดีตก็ถูกย้ายไปเป็น สว.ตำรวจสุนัข ในขณะที่เป็น ผกก. ก็ไปอยู่กองวิจัย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เราต้องมีวินัย การที่ถูกย้ายคงเป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชามีเหตุผลอยู่แล้ว อย่างที่เคยบอกว่าการแต่งตั้งโยกย้าย คนที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วตั้งหน้าตั้งตาจะไปฟ้องร้องกันทั้ง 2 แสนกว่าคน แล้วองค์กรจะอยู่อย่างไร

 

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า  ซึ่งต้องย้อนไปดูตนเองว่าที่ถูกโยกย้ายมีพฤติกรรมอย่างไร เขาสั่งให้ตัดผม มีคำสั่งออกมาเป็นระเบียบ แต่ตนเองไปพูดปลุกปั่นให้นักเรียนที่เข้าอบรมหลักสูตร ผกก. วิทยาลัยการตำรวจ ว่า ไม่ต้องไปต้องไปตัดผมตามระเบียบ มันใช้ได้หรือไม่ ซึ่งทาง ผบ.ตร. คงไม่ไปฟ้องกลับ ก็เป็นเรื่องปกติที่ใครจะฟ้องท่านก็ฟ้องไป เพราะท่านคิดว่าไม่ได้กลั่นแกล้งใคร แต่ท่านอยากฝากว่าการเป็นตำรวจต้องมีวินัย หากไม่มีวินัยจะไปดูแลขวัญกำลังใจ ทุกข์สุขพี่น้องประชาชนได้อย่างไร หากมีคนแบบนี้ในองค์ก่อนจำนวนมากจะเดินหน้าได้อย่างไร

 

“ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการร้องเรียนเท่าไหร่ เพราะทราบอยู่แล้วว่าผู้ที่ถูกโยกย้ายออกไปนอกพื้นที่ ถ้าอยู่ดีๆ แล้วถูกย้ายออกไปโดยไม่มีเหตุผล เชื่อว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายนั้นมีคณะกรรมการที่กลั่นกรองอยู่แล้ว คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะร้องมาที่คณะกรรมการ ก.ตร. ตามขั้นตอนอยู่แล้ว”

 

รองโฆษก ตร. กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. สมัยดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ ได้รับมอบหมายให้ไปสุ่มตรวจการธำรงวินัยความประพฤติข้าราชการตำรวจ ช่วงนั้นข้าราชการตำรวจต้องได้รับความเปลี่ยนแปลง การตัดผมสั้น การแต่งเครื่องแบบที่ได้มาตรฐาน การออกสุ่มตรวจเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ก็ต้องกลับไปถามดูว่าคนที่ไม่ประพฤติตามยังมาร้องเรียน ก็ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ ตนเชื่อว่าคนที่ปฏิบัติตามแม้กระทั่งฝ่ายสืบสวนที่ผ่านมาไว้ผมยาวเพื่อแฝงตัวทำงาน ยังต้องตัดผมสั้น เนื่องจากเป็นคำสั่ง เพราะฉะนั้นตนเชื่อว่าตำรวจ 99 เปอร์เซ็นต์มีวินัย สามารถตรวจสอบได้

 

เมื่อถามว่าการฟ้องร้องผบ.ตร.ในช่วงนี้มีนัยยะอะไรหรือไม่ พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า เชื่อว่า ผบ.ตร. คงไม่มีปัญหาอะไร ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ใครจะฟ้องก็ฟ้องไป ท่านไม่ได้ไปกลั่นแกล้งใคร ท่านเหลือเวลาเพียงน้อยนิด แต่ละวันมีงานที่ทำมากพอสมควร ตอนนี้ก็มุ่งสางคดีสำคัญมากกว่า

 

 

About The Author