วางยาปฏิรูป!สป.ยธ.ชำแหละร่างพรบ.ตำรวจฉบับตร.ขัดรธน.จี้นำชุด’มีชัย’เข้าสู่สภาโดยเร็ว
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2563 สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) เรื่อง คัดค้านร่าง พ.ร.บ. ปฏิรูปตำรวจฉบับสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและขอให้นำฉบับนายมีชัย ฤชุพันธ์ เสนอต่อสภาเพื่อการปฏิรูป แก้ปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของตำรวจผู้ใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อตำรวจผู้น้อยและประชาชน มีเนื้อหาดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มติเมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอแทนฉบับคณะกรรมการชุดนายมีชัย ฤชุพันธ์ ร่างตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะยังไม่ถือว่าเป็นการปฏิรูปตำรวจที่แท้จริง เนื่องจากขาดหลักการเรื่องตำรวจจังหวัด กำหนดให้ตำรวจต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบควบคุมของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยผ่าน ”คณะกรรมการตำรวจจังหวัด” ตามหลักสากล และสอดคล้องกับเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวงการตำรวจอย่างจริงจัง ทั้งปัญหาการรับส่วยสินบนจากบ่อนการพนัน ตู้ม้า และแหล่งอบายมุขของตำรวจผู้ใหญ่ที่เป็นสาเหตุของอาชญากรรมมากมาย รวมไปถึงปัญหาการสอบสวนที่พนักงานสอบสวนถูกผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไม่รับแจ้งความ หรือกลั่นแกล้งแจ้งข้อหาประชาชนโดยมิชอบ หรือสอบสวน “ล้มคดี” เช่น กรณีเหตุการณ์ทำร้ายผู้กองปูเค็มเนื่องจากการไปตรวจสอบแจ้งให้ตำรวจจับกุมตู้ม้า รวมทั้งการทำลายพยานหลักฐานคดีบอสที่เป็นข่าวอื้อฉาวและที่ไม่เป็นข่าวอีกมากมาย
การเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว นอกจากจะขัดต่อรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๕๘ และ ๒๖๐ให้การปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งซึ่งกำหนดสัดส่วนผู้เป็นตำรวจไว้แล้ว เนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญในการปฏิรูปตามร่างเดิมหลายเรื่อง ยังถูกแก้ไขและตัดออกไปอีกด้วย ที่เห็นชัดในเบื้องต้นก็คือ
๑. การแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ ตามร่างฉบับนายมีชัยฯ ในมาตรา ๑๕ ซึ่งยุบรวม ก.ตช. และ ก.ตร. เข้าด้วยกัน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดย ผบ.ตร. และ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายป้องกัน สอบสวน บริหาร จเรตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อดีตตำรวจระดับ ผบช. ขึ้นไปห้าคนและบุคคลภายนอกสามคนที่ผ่านการเลือกตั้งจากข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรขึ้นไปทุกคนร่วมเป็นกรรมการ
๒. องค์ประกอบ ก.ตร. ดังกล่าว กลับถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแก้ไขในมาตรา ๑๔ โดยให้ ผบ.ตร. เป็น รอง ประธาน และ รอง ผบ.ตร. ทุกคน จเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง ๕ ตำแหน่ง (ไม่นับตำแหน่งเทียบเท่าซึ่งอาจปรับได้)เป็นกรรมการ โดยมีอัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นบุคคลภายนอก ๓ คนเช่นเดิม และลดสัดส่วนของอดีตตำรวจระดับ ผบช. ขึ้นไปที่มาจากการเลือกตั้งของตำรวจเหลือเพียง ๓ คน
๓. การกำหนดให้ ผบ.ตร. เป็นรองประธาน ก.ตร. แทนที่จะเป็นอัยการสูงสุด หรือปลัดกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีฐานะเป็นกรรมการนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามแบบธรรมเนียมการบริหารราชการแผ่นดินที่อัยการสูงสุดและปลัดกระทรวงมหาดไทยถือว่าเป็นผู้มีสถานะสูงกว่า ผบ.ตร. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงสถานะความเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนตาม ป.วิ อาญา รวมทั้งอำนาจในการสั่งคดีที่ ผบ.ตร. ต้องเสนอสำนวนการสอบสวนที่ตนมี ความเห็นแย้งพนักงานอัยการให้อัยการสูงสุดชี้ขาด
๔. นอกจากนั้นสิทธิในการเลือก ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ๘ คน ที่กำหนดให้ตำรวจชั้นสัญญาบัตรขึ้นไปมีสิทธิเลือก ก็ถูกแก้ไขให้เป็นตำรวจระดับรองผู้กำกับการขึ้นไป เป็นการตัดสิทธิของตำรวจชั้นสัญญาบัตรระดับรองสารวัตรถึงสารวัตรทั่วประเทศซึ่งมีจำนวนรวมกว่าห้าหมื่นคน และไม่สามารถสะท้อนความต้องการของข้าราชการตำรวจที่แท้จริงเท่ากับร่างเดิม
๕. องค์ประกอบของ ก.ตร. มีสัดส่วนของตำรวจผู้ใหญ่ทั้งในและนอกราชการถึง ๙ คน จากคณะกรรมการรวม ๑๘ คนดังกล่าว โดยเฉพาะ รอง ผบ.ตร. ทุกคนซึ่งมีฐานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร. โดยตรง เพิ่มขึ้นจาก ๓ คน เป็น ๕ คน และอาจเพิ่มอีกได้ตามการปรับชื่อตำแหน่ง จะส่งผลทำให้การออกกฎและระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจหลายเรื่องที่ถูกร่างฉบับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดให้กระทำโดยมติ ก.ตร. เช่น การกำหนดให้ตำรวจบางหน่วยไม่มียศ การโอนงานตำรวจเฉพาะทาง ๑๓ หน่วยไปให้กระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบ และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง
๖. ประเด็นการแยกงานสอบสวนให้มีสายการบังคับบัญชาและการสั่งคดีต่างหากจากงานตำรวจ ป้องกันมิให้ถูกแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจ เนื่องจากสามารถกลั่นแกล้งแต่งตั้ง โยกย้ายพนักงานสอบสวนที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายได้ง่าย ก็ถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติตัดออกไปพร้อมกับวิธีประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยตำรวจโดยภาคประชาชนที่จะทำให้ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นมากขึ้น
สป.ยธ. จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้ความกล้าหาญและเด็ดขาดในการปฏิรูปตำรวจให้เป็นตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ โดยนำร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับที่คณะกรรมการชุดนายมีชัย ฤชุพันธ์ ซึ่งได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนมาแล้วมากมาย แม้กระทั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง เสนอต่อสภาเพื่อตราเป็นกฎหมายบังคับใช้โดยเร็ว