บันทึกภาพเสียงการควบคุม แจ้งอัยการ นายอำเภอและกรมการปกครองทราบ  ต้องทำทุกกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐ ‘คุมตัว’ ประชาชน

ยุติธรรมวิวัฒน์

บันทึกภาพเสียงการควบคุม แจ้งอัยการ นายอำเภอและกรมการปกครองทราบ  ต้องทำทุกกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐ ‘คุมตัว’ ประชาชน

                                     พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

หลัง พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 ก.พ.2566 ได้มีเจ้าพนักงานของรัฐหลายฝ่ายที่ใช้อำนาจทั้งตาม ป.วิ อาญา และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการตรวจค้น จับกุม และควบคุมตัวประชาชนตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ ยังไม่เข้าใจชัดแจ้งว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องนี้

โดยเฉพาะกรณีมาตรา 22 บัญญัติให้ต้อง บันทึกภาพและเสียง รวมทั้งแจ้งการควบคุมตัวประชาชนให้อัยการ นายอำเภอ และกรมการปกครองทราบ

จึงขออธิบายให้ประชาชนและเจ้าพนักงานรัฐทุกฝ่ายได้เข้าใจ เพื่อจะได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องรวมทั้งเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของตนดังนี้

 จับ เป็นคำกริยาที่พจนานุกรมได้ให้ความหมายไว้ตรงกับความเข้าใจของคนทั่วไปว่า  หมายถึง อาการที่ใช้มือแตะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กำไว้ หรือยึดไว้

แต่ การจับในทางกฎหมาย หาได้มีความหมายเพียงเท่านั้น

หากหมายถึง การกระทำที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้ตัวบุคคล ซึ่งกฎหมายเรียกว่า ผู้ถูกจับ ไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคหนึ่ง

ผู้มีอำนาจจับก็คือ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน และจะจับบุคคลได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งหรือหมายจับของศาล  หรือเมื่อพบบุคคลใดกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมี เหตุสำคัญจำเป็นต้องรีบจับ โดยไม่ต้องมีคำสั่งหรือหมายจับ

ส่วนราษฎรจะมีอำนาจจับผู้อื่นก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้า เฉพาะตามที่ระบุไว้ในบัญชีท้าย ป.วิ อาญา

ซึ่งเป็นความผิดอาญาร้ายแรงที่กระทบต่อความรู้สึกและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เป็นการจับที่เกิดจากสามัญสำนึกที่ดีของมนุษย์ทุกคน

เมื่อมีการจับแล้ว เจ้าพนักงานผู้จับมีหน้าที่ต้องนำตัวผู้ถูกจับไป ส่งพนักงานสอบสวน ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวนทันที ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 84 วรรคหนึ่ง

การจับก่อให้เกิดอำนาจควบคุม หรืออีกนัยหนึ่ง อำนาจควบคุมเป็นผลของการจับ ซึ่งเป็นอำนาจในการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของ ผู้ถูกจับ

ฉะนั้น เมื่อมีการจับก็ย่อมต้องมีการควบคุมเกิดขึ้นเสมอ ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ อาญา มาตรา 87 วรรคหนึ่งว่า “ห้ามมิให้ควบคุมผู้ถูกจับไว้เกินกว่าความจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดี”

ป.วิ อาญา มาตรา 2 (21) บัญญัติว่า “ควบคุม” หมายถึง การคุม หรือ กักขังผู้ถูกจับ โดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในระหว่างสืบสวนและสอบสวน

ควบคุม” จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของผู้ถูกจับใน 2 วิธีคือ “การคุม” กับ “การกักขัง”

กักขัง คือ การจำกัดเสรีภาพการเคลื่อนที่ทางร่างกายโดยการ ให้อยู่ในที่จำกัด เช่น ห้องควบคุมสถานีตำรวจ

ส่วน การคุมผู้ถูกจับ นั้น มิใช่เป็นการจำกัดเสรีภาพ ในที่จำกัด แต่ เป็นการกระทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ร่างกายของตนได้โดยอิสระหรือตามใจอยาก

ผู้ถูกจับที่มีฐานะเป็นผู้ต้องหาแล้วและถูกควบคุม มีสิทธิได้รับการ “ปล่อยชั่วคราว” หรือที่เรียกกันว่า “ประกันตัว” ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 106

คำว่า “ปล่อยชั่วคราว” กับ “ปล่อยตัว” จึงมีความหมายคนละอย่างกัน

พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและปราบปรามการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 3 บัญญัติความหมายของคำ “ควบคุมตัว” ไว้ หมายถึง การจับ คุมตัว ขัง กักตัว กักขัง หรือการกระทำด้วยประการอื่นใดอันเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคล

มีความหมายกว้างกว่าคำว่า “ควบคุม” ตาม ป.วิ อาญา มาตรา 2 (21)

การขัง  ก็มีความหมายตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ อาญา มาตรา 2 (22) ซึ่งหมายถึงการกักขังจำเลยหรือผู้ต้องหาโดยศาล

เป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลที่เป็นจำเลยหรือผู้ต้องหาให้อยู่ในสถานที่จำกัด เช่น เรือนจำ โดยมีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เป็นผู้ใช้อำนาจตามหมายขังของศาล

ส่วน การกักตัว นั้น เป็นการ จำกัดการเคลื่อนที่ทางร่างกายของบุคคลไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นอำนาจตามกฎหมายเฉพาะ เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ ที่ให้เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจ กักตัว ผู้ขับขี่ที่ไม่ยอมให้ตรวจสอบว่าเสพยาเสพติดหรือไม่

หรือในมาตรา 142 ที่ให้มีอำนาจ กักตัว ผู้ขับรถที่ไม่ยอมทดสอบว่าขับรถในขณะเมาสุราหรือไม่

โดยเมื่อผู้ขับรถนั้นได้ยอมให้ตรวจสอบหรือทดสอบแล้วและไม่พบการกระทำผิด ก็ต้อง ปล่อยตัว ไป

การคุมตัว ขัง กักตัว หรือกักขัง จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายบุคคลที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้ง

นอกจากนั้น ก็ยัง มีการกระทำอื่นตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐในการแสวงหาหลักฐานที่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพทางร่างกายของบุคคลอยู่ในตัวอีกหลายกรณี

เช่น การค้นบุคคลในที่สาธารณะเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เพื่อพบสิ่งผิดกฎหมายตาม ป.วิ อาญา มาตรา 93

การกระทำดังกล่าวเป็นการจำกัดเสรีภาพทางร่างกายของบุคคลในลักษณะที่เป็น “การคุมตัว” ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อได้ทำการค้น ตรวจสอบหรือทดสอบแล้วไม่พบความผิด ก็ต้อง ปล่อยตัว ไป

พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ มาตรา 22  บัญญัติว่า

ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้บันทึกเหตุนั้นเป็นหลักฐานไว้ในบันทึกการควบคุมตัว

 การควบคุมตัวตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบแจ้งพนักงานอัยการและนายอำเภอท้องที่ที่มีการควบคุมตัวโดยทันที……….”

คำว่าควบคุมตัวดังกล่าวจึงย่อมมิได้หมายถึงการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลโดยการขัง หรือ กักขัง

เนื่องจากข้อความที่ว่า “หรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป”แสดงว่าบทบัญญัตินี้ต้องใช้ในกรณีที่มีการคุมตัวบุคคลโดยไม่มีการจับด้วย

โดยความตามนัยดังกล่าว การค้นบุคคลในที่สาธารณะ การตรวจสอบผู้ขับรถว่าเสพยาเสพติด การทดสอบว่าเมาสุราแล้วไม่พบว่าบุคคลดังกล่าวกระทำความผิด ต้องปล่อยตัวไป

เจ้าพนักงานรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพ เสียง อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแจ้งให้อัยการ นายอำเภอ และกรมการปกครองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ ด้วยเช่นกัน

เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันมิให้ประชาชนผู้ถูกเจ้าพนักงานรัฐคุมตัวไว้ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย “ไม่สามารถช่วยตัวเองได้” ถูกละเมิดไม่ว่าในรูปแบบใด

ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายที่เข้าข่าย “การกระทำทรมานฯ”

รวมทั้ง “ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” มีโทษจำคุกถึงสามปี.

ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ :  ฉบับวันที่ 21 ส.ค. 2566

About The Author