‘นิติวิทยาศาสตร์’และ’ทาสสอบสวน’โซ่ตรวนคือ’ชั้นยศ’และ’วินัยแบบทหาร’
“นิติวิทยาศาสตร์” และ “ทาสสอบสวน” โซ่ตรวนคือ “ชั้นยศ” และ “วินัยแบบทหาร”
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ผู้คนที่พอมีสติและไม่หูหนวกหรือตาบอดพร้อมกันทั้งสองข้างต่างคงต้องยอมรับว่า สังคมไทยในเวลานี้มีปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย คือ รัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย ประชาชนไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือชนชั้นใดต้องอยู่ภายใต้กติกาของสังคมที่บัญญัติไว้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมหรือ การบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นในขั้นตอนใดอย่างร้ายแรง!
เริ่มตั้งแต่การออกหมายเรียกบุคคลเป็นผู้ต้องหา หรือว่า “การออกหมายจับ” ของศาล การค้านประกัน “แบบมั่วๆ” ของตำรวจโดยไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหาน่าจะหลบหนี หรือมีพฤติกรรมไปยุ่งเกี่ยวกับพยานอย่างใด?
รวมไปถึง “การสั่งฟ้องคดี” ของอัยการที่ “ต่ำกว่ามาตรฐานสากล” คือคดีมีหลักฐานเพียงแค่ “พอฟ้อง”!
หรือแม้กระทั่ง “คำสั่ง” หรือ “คำพิพากษาของศาล” ที่หลายคดีมีคำถามเกิดขึ้นโดยไร้คำตอบมากมาย
เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ผู้คนที่ยากจนหรือบุคคลฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เกิดความขัดแย้งแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายโดยไม่มีใครรู้ว่าปัญหาจะสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไร?
จะมีผู้คนโดยเฉพาะเยาวชนและคนหนุ่มสาวต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อกันมากน้อยเพียงใด การร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริงจึงจะเกิดขึ้น?
อาจกล่าวได้ว่านอกจากปัญหารัฐธรรมนูญ 2560 ที่ร่างขึ้นหลังจากที่ คสช.ได้ทำรัฐประหาร โดยได้มีการซ่อนเงื่อนสืบทอดอำนาจทั้งโดย ส.ว.แต่งตั้ง และแผนยุทธศาสตร์ชาตินานถึง 20 ปี ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาไทยใน ชั้นสอบสวน หรือการรวบรวมพยานหลักฐานก็เป็นปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่งซึ่งก่อให้บ้านเมืองเกิดวิกฤติขึ้น
จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปครั้งใหญ่อย่างเร่งด่วน ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภาย ในระยะเวลา 1 ปี แต่จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะออกเป็นกฎหมายได้เมื่อใด?
เมื่อประกาศใช้ ป.วิ อาญา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือ พ.ศ.2477 เพื่อยกระดับกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยให้เป็นเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ
งานสอบสวนได้ถูกกำหนดให้เป็นอำนาจและบทบาทหลักของฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคทั้งหมด
ตำรวจในจังหวัดต่างๆ มีหน้าที่ตรวจตราจับกุมผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าไปส่งให้นายอำเภอและปลัดอำเภอสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การกระทำผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ ป.วิ อาญาบัญญัติไว้ใน มาตรา 131
ซึ่งหมายความว่า งานสอบสวนของชาติส่วนใหญ่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยที่เป็นระบบพลเรือน ไม่ได้เป็นข้าราชการผู้มียศแบบทหารแต่อย่างใด
ฉะนั้น ปัญหาการที่ผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอ จะสั่งให้ปลัดอำเภอทำสอบสวนโดยมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการ สอบสวนทำลายพยานหลักฐาน เพื่อล้มคดี หรือ ยัดข้อหา ประชาชน จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
เพราะนอกจากกระทรวงมหาดไทยจะไม่ได้มีโครงสร้างและระบบการปกครองที่มีชั้นยศและวินัยแบบทหาร และถูกปลูกฝัง วัฒนธรรมเผด็จการที่จำเป็นสำหรับการรบ อย่างที่โรงเรียนทหารทุกแห่งสอนกัน เช่น คำสั่งผู้บังคับบัญชาคือพรจากสวรรค์ หรือ ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน แล้ว
พื้นฐานการศึกษาของพนักงานสอบสวนฝ่ายปกครองส่วนใหญ่ล้วนมี คุณวุฒิทางกฎหมาย คือ นิติศาสตรบัณฑิต หรือรัฐศาสตรบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัย ทั้งในและนอกประเทศด้วยกันทั้งสิ้น
แต่กระบวนการยุติธรรมอาญาชั้นสอบสวนของไทยได้เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่ใน ยุครัฐบาลเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปี พ.ศ.2506
ได้มีการออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยให้ตำรวจรับผิดชอบการสอบสวนในส่วนภูมิภาคแทนฝ่ายปกครองทั้งหมด จึงทำให้งานสอบสวนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดถูกผูกขาดโดยองค์กรตำรวจเพียงหน่วยเดียวนับแต่นั้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน
นี่คือปัญหาสำคัญที่ทำให้ งานสอบสวนประเทศไทยถูกสั่งตามชั้นยศแบบทหารได้ ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้พนักงานสอบสวน สอบ-ไม่สอบ พยานปากใด หรือ ไม่รวบรวมหลักฐานอะไรไว้ให้ปรากฏในสำนวนที่ส่งให้อัยการ ก็ได้
ส่งผลทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ได้รับความอยุติธรรม จนบ้านเมืองแทบลุกเป็นไฟ ไม่ต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบัน!
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงได้แก้ปัญหาด้วยการออกข้อบังคับเพิ่มเติมใน ปี 2509
ให้ฝ่ายปกครองผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอมีอำนาจตรวจสอบหรือควบคุมการสอบสวนคดีที่ประชาชนร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมได้
รวมทั้งได้เพิ่มคดีป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติเข้าไปในข้อบังคับปี พ.ศ.2523 ให้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนรับผิดชอบด้วย
ความเดือดร้อนของประชาชนในส่วนภูมิภาคจากการสอบสวนโดยมิชอบของตำรวจจึงถูกตรวจสอบและถ่วงดุลโดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ เกิดคุณูปการต่อประชาชนให้ได้รับความยุติธรรมเพิ่มมากขึ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ ในปี 2556 ได้มี ผบ.ตร.คนหนึ่งเกิด ความคิดพิลึก ว่า ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ไม่น่าจะนำมาบังคับใช้กับตำรวจแห่งชาติได้เนื่องจากไม่ได้สังกัดกระทรวงมหาดไทยมาแต่ปี 2547 แล้ว
จึงออกคำสั่งที่ 419/2556 ห้ามพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอตามที่แจ้งหรือสั่งการมาอย่างเด็ดขาด!
แต่พนักงานสอบสวนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายนั้นแต่อย่างใด ยังคงส่งสำนวนให้นายอำเภอตามที่แจ้งขอเคยปฏิบัติ โดยถือว่าเป็นการดำเนินการตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง ป.วิ อาญา ให้อำนาจรัฐมนตรีผู้รักษาการไว้อย่างสมบูรณ์
เป็นเหตุให้ ผบ.ตร.ออกคำสั่งอีกฉบับหนึ่งในเวลาต่อมากำชับว่า ผู้ใดฝ่าฝืนส่งสำนวนให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอจะถูกลงทัณฑ์ทางวินัย สั่งให้นำตัวไป กักขัง หรือ กักยาม จำกัดอิสรภาพแบบทหารได้!
แม้คำสั่งดังกล่าวจะมิชอบด้วยกฎหมาย แต่พนักงานสอบสวนทุกคนก็ต้อง จำใจปฏิบัติตามกันโดยดุษณี!
ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่รับคำร้องทุกข์ ออกเลขคดี ในกรณีที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความ รวมทั้ง การสอบสวนอย่างพิลึกพิลั่น สอบปากคำซ้ำซากจนพยานหรือผู้เสียหาย กลายเป็นผู้ต้องหา เช่นกรณี นายฐานะพล เสาวคนธ์ ที่ภรรยาถูกตำรวจแม่อายห้าคนขอตรวจค้นและยัดข้อหาว่านำพาคนต่างด้าว เรียกค่าไถ่ 300,000 บาท
สอบกันจนผู้เสียหายได้กลายเป็นผู้ต้องหาว่าแจ้งความเท็จแกล้งให้ตำรวจผู้รีดไถได้รับโทษอาญา
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่มีหนังสือถึงหัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.แม่อาย ให้ส่งสำนวนมาตรวจสอบหรือเข้าควบคุม แต่ตำรวจ ก็ไม่ยอมส่งให้ ผู้ว่าฯ เลยส่งหนังสือการขอนั้นให้อัยการจังหวัดทราบเอาไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการคืนสำนวนกลับไปให้ตำรวจทำใหม่ให้ถูกต้องตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย!
หัวใจของการปฏิรูปตำรวจที่แท้จริง นอกจากต้องจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ ทำให้ตำรวจบางหน่วยไม่มียศและระบบบังคับบัญชาแบบทหาร เช่น งานสายการแพทย์ พยาบาล งานพิสูจน์หลักฐาน และการสอนในสถานศึกษา ปรากฏอยู่ในมาตรา 9 (2) ของร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับมีชัย
รวมทั้งกำหนดตำแหน่งสายงานสอบสวนให้เป็นเช่นเดิมก่อนมีประกาศ คสช.ยุบตำแหน่ง และมีหลักเกณฑ์การแต่งตั้งเน้นเฉพาะในสายปรากฏอยู่ในมาตรา 77
ส่งผลทำให้งานสอบสวนมีความเป็นอิสระจากหัวหน้าสถานีหรือหัวหน้าตำรวจจังหวัดซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราป้องกันอาชญากรรมจับผู้กระทำผิดซึ่งหน้าส่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานด้วยความยุติธรรม
แต่ หัวใจสำคัญในสองเรื่องนี้กลับหายไป! เมื่อนายกรัฐมนตรีได้ส่งร่างกฎหมายไปให้ตำรวจแห่งชาติพิจารณา
ซ้ำได้มีการร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับกลายเป็นว่า ผู้ปฏิบัติงานสายการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้เก็บรวบรวมและตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานยังคงมียศและวินัยแบบทหารเช่นเดิมต่อไป!
อ้างว่าได้มีการบัญญัติไว้ให้นักวิทยาศาสตร์ มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ เอาไว้แล้วตามมาตรา 8 วรรคสอง
แต่ภายใต้โครงสร้างองค์กรและระบบการปกครองแบบมีชั้นยศและวินัยแบบทหารของตำรวจเช่นทุกวันนี้
ความเป็นอิสระทั้ง เจ้าพนักงานพิสูจน์หลักฐานและพนักงานสอบสวน ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง
โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนทุกคนยังคงอยู่ในสภาพ ทาสสอบสวน
เนื่องจากถูกพันธนาการด้วย “โซ่ตรวน” ตามชั้นยศ รวมทั้งระบบการปกครองและวินัยแบบทหาร!
การ ทำสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามสั่ง ของเจ้านายที่เป็น พนักงานสอบสวนผู้ไม่รับผิดชอบ สั่งในที่ประชุมโขมงโฉงเฉงอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่ไม่ต้องปรากฏหลักฐานการสั่งอะไรในสำนวน
แต่ ทาสสอบสวน ทุกคน ก็ยังต้องก้มหน้าปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็น การสอบสวนทำลายพยานหลักฐาน ล้มคดี หรือ ยัดข้อหา ประชาชนออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหา หรือ เสนอศาลให้ออกหมายจับ ก็ตาม!.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:ฉบับวันที่ 8 มี.ค. 2564