ระยะนี้มีเรื่องราวอื้อฉาวเกี่ยวกับตำรวจไทยเกิดขึ้นแทบจะเป็นรายวัน จนประชาชนจดจำนำมาวิจารณ์กันไม่หวาดไหว

แต่แทบทุกเรื่อง เกิดแล้วก็ผ่านไป!

เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2566 ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เพยแพร่บทความ เรื่อง เขาไม่ใช่ตำรวจแล้ว มีเนื้อหาดังนี้

 ระยะนี้เรื่องคดี “นายตู้ห่าว” ยังเป็นประเด็นให้ผู้คนเมาธ์กันด้วยความสงสัยข้องใจว่า สุดท้าย พนักงานอัยการ

เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2566 องค์กรเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน 18 แห่ง ออกแถลงการณ์คัดค้านกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยมีรายละเอียดดังนี้

ขณะนี้คดี ตู้ห่าว อดีตไกด์ชาวจีนที่มีเมียเป็นตำรวจไทย ผู้ได้เข้ามาหากินและรับ ฟอกเงินสกปรก ในเมืองไทยร่วมกับตำรวจ ที่เรียกกันว่า “ชั้นผู้ใหญ่” ทั้งในและนอกราชการหลายคนจนมีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐีในช่วงเวลาเพียงสิบกว่าปี

ปัจจุบัน ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมในชั้นสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐานไม่ว่าขั้นตอนของ ตำรวจหรืออัยการ

          แทบไม่เหลือความเชื่อถือหรือความไว้วางใจอะไรให้กับใครอีกต่อไป!

          เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ที่มี นายอภิชาติ  ไพรรุ่งเรือง เป็น ประ ธาน ได้จัดงานเสวนาวิชาการที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์

ช่วงเวลานี้นอกจาก คดีตู้ห่าว อดีตไกด์ชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ผู้ได้สัญชาติไทย ซึ่งถูกตำรวจเสนอศาลออกหมายจับข้อหา สมคบค้ายาเสพติด นำไปสู่การอายัดทรัพย์สารพัดมีมูลค่า ร่วมห้าพันล้าน

ปัญหา กัญชาเพื่อสันทนาการ ภายใต้ คำลวง ของนักการเมืองว่า เพื่อการแพทย์

   ปัญหากลุ่มทุนจีนสีเทา พากันเข้ามาเปิดบ่อนพนันและผับบาร์ค้ายาเสพติด ในเมืองใหญ่ของไทย ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพมหานครนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันมานาน นับสิบปี