‘นิยายสอบสวน’ ลุงพลฆ่าน้องชมพู่ อุ้มไปปล่อยบนภูเขา!

‘นิยายสอบสวน’ ลุงพลฆ่าน้องชมพู่ อุ้มไปปล่อยบนภูเขา!

                      พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

คดี นายไชยพล วิภา หรือ ลุงพล’ หนุ่มใหญ่แห่งบ้านกกกอก อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ได้ถูกตำรวจขอศาลออกหมายจับโดยกล่าวหาว่าฆ่า ด.ญ.ชมพู่ ด้วยการลักพาตัวจากพ่อแม่หรือผู้ดูแลนำขึ้นไปปล่อยไว้บนภูหินเหล็กไฟจนขาดน้ำตาย

นับเป็น นิยายสอบสวน’ ที่ถูกแต่งขึ้นจาก ความเชื่อ’ ของตำรวจผู้ใหญ่ที่หลงเข้าใจว่าน้องเดินขึ้นไปเองไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ความจริงอันแน่แท้แต่อย่างใด!

เพราะข้อเท็จจริงน้องสามารถเดินซึ่งอาจด้วยวิ่งตามสุนัขหรือพลัดจากพี่สาวไม่ว่าด้วยเหตุใด เดินหลงเข้าไปในป่าละเมาะลัดเลาะขึ้นลงเนินเขาไปตามทางที่ชาวบ้านใช้เดินหาของป่าจนถึงยอดเขาได้

โดยมีคนหาของป่าหลายคนยืนยันว่า เด็กสามารถเดินได้ และลูกหลานเขาก็เดินขึ้นไปเล่นในบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน

อีกทั้งไม่ใช่การเดินในภาวะปกติ แต่อยู่ในสถานการณ์ที่น้อง พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด เดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมายใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้เกี่ยวกับความกลัวเรื่องที่สูงหรือความมืดแต่อย่างใด และสุดท้ายได้เอาตัวเข้าไปนอนซุกอยู่ใต้ก้อนหินขนาดใหญ่ ไม่ใช่ถ้ำหรือเป็นการปีนหน้าผาที่เด็กไม่สามารถทำได้

ทั้งนี้เพื่อหวังให้ตัวเองปลอดภัยทั้งจากแสงแดดแผดเผาและสัตว์ร้าย สอดคล้องกับ รอยช้ำบริเวณส้นเท้าและบาดแผลที่ขา ซึ่งถูกใบหญ้าบาดเป็นริ้วรอยระหว่างทางเดินมากมาย

นอกจากนั้นรถของเล่นและรองเท้าแตะของน้องก็ตกอยู่ใกล้จุดพบศพ แสดงว่าได้ถือติดมือและใส่ติดเท้าขึ้นมาตลอดเวลาประสาเด็ก ซึ่งถ้าน้องถูกอุ้มขึ้นไปรองเท้าจะต้องหลุดตั้งแต่เชิงเขาหรือระหว่างทางก่อนอย่างแน่นอน

การดำเนินคดีก็มีแต่ ความเชื่อ’ ที่ไร้เดียงสาของตำรวจผู้ใหญ่และอ้าง พิรุธ’ ของลุงพลในการให้การที่ถามกันซ้ำซากอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่มีหลักฐานไม่ว่าพยานบุคคลหรือวัตถุยืนยันว่าเขาเป็นคนนำหลานชมพู่ไปจากจุดไหน เวลาใด ด้วยการอุ้ม แบกหรือวิธีการใดที่แสนทุลักทุเลไปจนถึงยอดเขาเพื่อปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย และ ด้วยเหตุจูงใจอะไร?

รวมทั้งเป็นไปได้อย่างไรที่การอุ้มแบกน้องขึ้นภูเขาไปใช้เวลานานเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ ไม่มีดีเอ็นเอของลุงพล ติดที่ร่างกายของน้องเลย!

นอกจากนั้นในวันเกิดเหตุ ก็ยังมีพยานสำคัญคือ พ่อแบม’ ซึ่งเป็นพ่อตาของลุงพลให้สัมภาษณ์ออกสื่อยืนยันว่า ในวันเวลาที่พี่สาวคือสะดิ้ง วิ่งมาบอกที่สวนว่าน้องหายไป ก็ยังได้ กรีดยางอยู่กับเขา และญาติอีกหลายคน ซึ่งหลังจากทราบเหตุร้ายทุกคนรวมทั้งลุงพลก็ได้ช่วยกันวิ่งออกค้นหาอยู่เป็นเวลานาน

แต่การรู้เห็นของพ่อแบมและอีกหลายคนเช่นนั้นกลับไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันสถานที่อยู่ของเขาว่าไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องได้อย่างแสนประหลาด!

คดีนี้หากตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการทำ สำนวนชันสูตรพลิกศพ’ ให้เสร็จสิ้นก่อนตั้งข้อหาดำเนินคดีตามที่ ป.วิ อาญา บัญญัติไว้ ก็จะทำให้ทราบถึง เหตุที่ตาย’ และ พฤติการณ์แห่งการตาย’ ว่าได้เกิดจากการกระทำผิดอาญาของผู้ใดหรือไม่ด้วยพยานหลักฐานใด

ไม่เกิดความวุ่นวายจาก ความเชื่อ’ นำไปสู่ความพยายามในการสืบสอบหาตัวคนร้าย เพราะตำรวจผู้ใหญ่ได้หลุดปากพูดต่อสื่อไว้ทันทีที่พบศพบนภูหินเหล็กไฟว่า น้องถูกฆ่าอย่างโหดร้าย จะต้องจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่กลับ’

แต่เมื่อ ผลการตรวจชันสูตรศพของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ได้รายงานออกมาว่า ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายใดๆ  ทำให้ตำรวจผู้ใหญ่เกิดความไม่พอใจ เพราะจะกลายเป็นคดีที่ ไม่มีใครทำให้น้องตายตาม ที่พูดต่อสื่อไว้ว่า ต้องจับคนร้ายให้ได้’ 

จึงได้มีการสั่งให้นำศพน้องมาผ่าตรวจชันสูตรอีกครั้งที่สถาบันนิติเวชตำรวจ และสุดท้ายได้

มีการออกรายงานว่า พบบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ’ เป็นเหตุให้สื่อมวลชนและผู้คนทั้งประเทศหลงเข้าใจผิดคิดว่าน้องถูกคนร้ายล่วงละเมิดถึงแก่ความตายนับแต่นั้นเป็นต้นมา!

นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดข้อกังขาว่าเหตุใด แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จึงตรวจไม่พบบาดแผลดังกล่าว นำไปสู่การตรวจสอบของ กมธ.กฎหมายและการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร ในเวลาต่อมา โดยเรียก แพทย์นิติเวชตำรวจยศร้อยตำรวจเอกผู้ผ่าชันสูตรศพครั้งที่สอง มาชี้แจง ซึ่งเขาได้อธิบายอย่างละล่ำละลักว่า หมายถึงบาดแผลจากการผ่าชันสูตรศพครั้งแรก’ ไม่ใช่จากการถูกกระทำของบุคคลตามที่ผู้คนเข้าใจ แต่อย่างใด เรียกเสียงฮือฮากันทั้งห้อง!?

เมื่อร่างกายของน้องไม่มีบาดแผลจากการถูกทำร้ายใดๆ ทำให้ตำรวจผู้ใหญ่ต้องหาทางแต่ง นิยายสอบสวน’ ว่ามีคนร้ายซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครได้นำตัวน้องขึ้นไปปล่อยไว้บนภูหินเหล็กไฟเพื่อให้อดน้ำและอาหารตาย เป็นการฆ่าคนแบบเล็งเห็นผล ทั้งที่การทำเช่นนั้นถือเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยซ้ำ!

โดย ลุงพล’ เป็นคนหนึ่งซึ่งถูกญาติพี่น้องสงสัยมาแต่แรก เพราะเขาเป็นลูกเขยของหมู่บ้าน

มีการสอบพยานว่าเห็นเขาเดินสวนลงมาจากเนินเขาและทำลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าละเมาะ ชายหมู่บ้าน นำไปสู่การขอศาลออกหมายจับ และใช้ตำรวจคอมมานโดหรือ หน่วยกล้าตาย’ ล้อมบ้านไว้ในลักษณะของการจับคนร้ายสำคัญและอันตรายกันอย่างเอิกเกริก

และสรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้อัยการสั่งฟ้องคดีต่อศาล ด้วย หลักฐานเด็ด’ ที่ตำรวจบอกว่าสืบหาได้ในเวลาต่อมาคือ เส้นผมของน้องที่มีรอยตัดตรงกับผมของศพ ซึ่งได้ค้นพบในรถของลุงพลที่จอดอยู่หน้าบ้านโดยตำรวจเข้าไปค้นอย่างพลการ ไม่ได้รับการอนุญาตหรือรู้เห็นจากผู้เป็นเจ้าของรถ แต่อย่างใด ซึ่งลุงพลก็ได้พูดโวยวายเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาว่า เป็นการเก็บหลักฐานโดยมิชอบมีเงื่อนงำ ทำให้ไม่สามารถนำมาอ้างใช้ตามกฎหมายได้

การทำ สำนวนชันสูตรพลิกศพ’ นับเป็นเรื่องสำคัญซึ่งเป็นหลักประกันในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับ พฤติการณ์แห่งการตาย’ อย่างผิดธรรมชาติของบุคคลว่าเกิดจากการกระทำความผิดอาญาของผู้ใดหรือไม่

ส่วนการตรวจชันสูตรศพ จะทำให้พบเพียง เหตุที่ตาย’ ในทางการแพทย์ เช่น เพราะขาดอากาศหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้นด้วยเหตุใดเท่านั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 129 จึงบัญญัติห้ามไว้อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จสิ้น ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล’ นั่นหมายถึงการระบุ พฤติการณ์แห่งการตาย’ ว่าตายที่ไหน ตายอย่างไร และใครเป็นผู้กระทำให้ตายหรือไม่ด้วย

เพราะหากยังสรุปพฤติการณ์การตายไม่ได้ ก็จะเป็นการฟ้องคดีมั่วๆ ไปโดยไม่แน่ใจว่า ความตายของบุคคลนั้นเกิดจากการกระทำความผิดอาญาจริงหรือไม่?

นอกจากนั้น ป.วิ อาญา ยังได้สร้างหลักประกันความยุติธรรมไว้ใน มาตรา 227 ว่า …..อย่าพิพากษาลงโทษจำเลยจนกว่าจะแน่ใจว่าได้มีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยไป’

คดีลุงพลถูกกล่าวหาว่าฆ่าน้องชมพู่โดยอุ้มไปปล่อยทิ้งไว้ให้ตายบนภูหินเหล็กไฟไม่ใช่แค่ไม่มีหลักฐานว่าเขาได้กระทำผิด ซึ่งแม้แต่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้น ผู้คนแน่ใจได้อย่างไรว่าน้องไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้อย่างแน่แท้ คือ สิ้นสงสัย’ ว่าได้มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้นตามที่ ป.วิ อาญามาตรา 227 บัญญัติเป็นหลักแห่งความยุติธรรมสมัยใหม่ไว้?.

ลุงพล
ลุงพล

          ที่มา :  นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 18 ส.ค. 2568

About The Author