‘รถหนัก’ ถนนพังทั้งประเทศ ก่ออุบัติเหตุ เจ็บตาย ‘จ่ายส่วยตรงเวลา’ ตร.ผู้น้อยจับตามหน้าที่ไม่ได้
“รถหนัก” ถนนพังทั้งประเทศ ก่ออุบัติเหตุ เจ็บตาย “จ่ายส่วยตรงเวลา” ตร.ผู้น้อยจับตามหน้าที่ไม่ได้
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ภาพ รถบรรทุกดินหนัก ทับฝาบ่อพักสายไฟใน กทม.บริเวณถนนสุขุมวิทหักคาตา ผู้ว่าฯ และนักวิชาการรวมทั้งสื่ออ่อนโลกบางคนตั้งประเด็นปัญหาว่าอาจเป็นเพราะคอนกรีตปิดบ่อชั่วคราวระหว่างการทำงานไม่ได้มาตรฐาน!
หรือแท้จริงมีการ จ่ายส่วย ให้หัวหน้าหน่วยตำรวจทุกระดับผู้รับผิดชอบ จึงไม่มีการตรวจสอบและตรวจตราจับกุมดำเนินคดีตามหน้าที่
ขณะนี้ผู้คนสนใจกันแต่ว่า สติกเกอร์ดาวเขียว ที่ติดกระจกหน้ารถบรรทุกบริษัทนี้ทุกคันนั้นหมายถึงอะไร?
เป็นสัญลักษณ์ว่าได้ จ่ายส่วย ให้ตำรวจครบตรงตามกำหนดแล้วหรือไม่ จึงสามารถบรรทุกหนักกันได้ขนาดนั้น
ส่วนประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เขาไม่สงสัยกันแต่อย่างใด
เขาคิดด้วยสามัญสำนึกง่ายๆ ว่า ถ้าไม่จ่าย ไม่ว่าจะมีสติกเกอร์ติดเป็นสัญลักษณ์หรือไม่
ประชาชนทั่วไปจะสามารถบรรทุกได้หนักเกือบสี่สิบตันโดยไม่มีตำรวจหน่วยใดตรวจจับกันเลยเช่นนี้หรือ?
ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องการพิสูจน์ว่า ตำรวจคนไหนหรือระดับใดรับส่วยรถบรรทุกผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ว่าจะในรูปแบบใด
เอาเป็นว่า หัวหน้าหน่วยตำรวจและผู้ได้รับมอบหมายในทุกระดับที่ “มีหน้าที่รับผิดชอบ” การตรวจสอบจับกุม แล้วไม่ทำหน้าที่
จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชนอย่างร้ายแรงกันเช่นนี้
ถือว่ามีความผิดทางวินัย ที่จะต้องลงโทษ “ไล่ออก” หรือ “ปลดออก” จากราชการด้วยกันทุกคน
ตามข้อเท็จจริงทางหลวงในประเทศไทยทุกสาย ได้ ถูกออกแบบให้รับน้ำหนักบรรทุกแค่ 21 ตัน เท่านั้น
เป็นน้ำหนักบรรทุกลงเพลาไม่ว่ารถจะมีกี่ล้อก็ตาม
ถือเป็นน้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่มีความคุ้มค่าตามงบประมาณการก่อสร้าง
แต่หากจะออกแบบและก่อสร้างให้รับน้ำหนักให้มากกว่านั้น ก็จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล ซึ่งถือว่าไม่คุ้มค่า
โดยเฉพาะ สะพาน ทั่วไทย จะต้องออกแบบและสร้างใหม่ทั้งหมด
ถ้ารถทุกคันบรรทุกหนักตามที่กฎหมายกำหนด จะทำให้ถนนลาดยางแอสฟัลต์มีอายุใช้งานถึง 7 ปี จึงจะมีการซ่อมครั้งแรก
หากเป็นถนนคอนกรีต จะมีอายุใช้งานถึง 30 ปี
แต่เนื่องจาก ระบบตำรวจไทยที่เต็มไปด้วยการทุจริตและไร้ประสิทธิภาพในความเป็นจริง ทำให้รัฐไม่สามารถควบคุมน้ำหนักบรรทุกให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตลอดมา
ซ้ำช่วงเวลาหนึ่ง ยังได้มีนักการเมืองเรืองอำนาจ เสนอให้ขยายน้ำหนักบรรทุกไปเป็น 25 ตัน เมื่อประมาณยี่สิบปีมานี้
อ้างว่า เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของการบรรทุกหนักผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นทั่วประเทศมากมาย รัฐไม่สามารถแก้ไขได้!
ก่อให้เกิดปัญหาทางหลวงทุกสายทั่วไทย ชำรุดเสียหายในเวลาอันรวดเร็ว หลังเสร็จการก่อสร้างนับแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยเฉพาะ ถนนสายรองในท้องถิ่นอำเภอและตำบลหมู่บ้าน ที่สร้างเพื่อรองรับการบรรทุกเพียง 18 หรือ 12 ตัน แทบ จะพังในเวลาไม่กี่เดือนหลังเปิดใช้
เนื่องจากในข้อเท็จจริง รถบรรทุกจำนวนหนึ่งซึ่งจ่ายส่วยให้ตำรวจหัวหน้าหน่วยทุกท้องที่รถแล่นผ่าน ไม่ได้บรรทุกกันแค่ 25 ตันกันแต่อย่างใด
เพราะหากรถบริษัทใดที่ จ่ายส่วย ให้ตำรวจทุกหน่วยและทุกสถานีที่รถแล่นผ่านตรงตามเวลา ก็จะไม่มีการตรวจตรา ไม่ว่าจะบรรทุกหนักกี่สิบตัน ก็ตาม
ประเทศไทยจึงมีปัญหาอุบัติเหตุ ผู้คนบาดเจ็บพิการและล้มตายมากมาย
ติดอันดับหนึ่งหรือสองของโลกต่อเนื่องกันมาหลายสิบปีจนกระทั่งบัดนี้!
นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา บอกว่า มิใช่เป็นปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น ก็ถูกต้อง
แต่เมื่อท่านมีอำนาจรัฐสูงสุดอยู่ในขณะนี้ ก็ควรบอกประชาชนว่าจะมีวิธีจัดการหรือแก้ปัญหาอย่างไร
รถบรรทุกหนัก เคลียร์ตำรวจแบบพรีเมียม คือบรรทุกได้ไม่จำกัด นั้น
แค่ ดูด้วยตาก็รู้ ฟังเสียงรถแล่นด้วยหูก็สามารถบอกได้ว่าประมาณกี่ตัน
ตำรวจผู้เป็นเจ้าพนักงานดูหรือฟังแล้วถือว่ามีเหตุควรสงสัย ก็สามารถเรียกให้คนขับหยุดรถ นำไปตรวจสอบโดยใช้เครื่องชั่งของเอกชนที่มีอยู่มากมายได้แสนง่าย
คลาดเคลื่อนไปก็ไม่เกินสองสามตัน
แต่ปัญหาเรื่องรถบรรทุกหนักหรือรถบรรทุกผิดกฎหมายทั่วไทยก็คือ การ จ่ายส่วย ให้ตำรวจหัวหน้าหน่วยผู้รับผิดชอบในหลายรูปแบบแทบทั้งสิ้น
ตำรวจผู้น้อยทุกคนที่ตรวจตราอยู่ตามถนนหนทางไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน จึงไม่สามารถแตะต้องได้
ใครขืนจับ รับรองว่าไม่กี่เดือนหรือแค่ไม่กี่วันจะถูกย้ายเปลี่ยนหน้าที่ ไม่ให้มีอำนาจตรวจจับรถผิดกฎหมายอีกต่อไป
นายกรัฐมนตรีบอกไม่ชอบคำว่า “ปฏิรูป” หรือแม้แต่ “สังคายนาตำรวจ” หากจะใช้วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องๆ ไป
ช่วยบอกประชาชนให้ทราบหน่อยว่า “จะทำอย่างไร”?
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:ฉบับวันที่ 13 พ.ย. 2566