‘ปฏิรูปการสอบสวนคดีอาญา’ ไม่ต้องแก้มาตรา 112
“ปฏิรูปการสอบสวนคดีอาญา” ไม่ต้องแก้มาตรา 112
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ตกอยู่ในอาการเครียดและเกลียดชังระแวงระวังซึ่งกันและกัน ไม่รู้ใครเป็นใคร!
เพราะผลการเลือกตั้งทั่วไปที่คนไทยโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวอดทนรอกันมานาน เกือบ 9 ปี และปรากฏว่า พรรคก้าวไกล ได้ ส.ส.มากที่สุด คือ 151 คน จากจำนวน 500
เหนือความคาดหมายของหลายฝ่าย แม้แต่พรรคที่มั่นใจว่าจะ “แลนด์สไลด์” กลับกลา
ยเป็นพรรคลำดับสอง
แต่พรรคอันดับหนึ่งซึ่งสามารถรวมเสียง ส.ส.ได้เกินกึ่งหนึ่งถึง 313 กลับไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้
เพราะไม่ผ่าน “ด่านนรก” ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน ที่กำหนดให้ร่วมลงคะแนนกับผู้แทนราษฎร 500 คน รวมเป็น 750 และต้องได้เสียงถึง 375
ตาม บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่กลุ่มคณะรัฐประหารได้ “อำนวยการร่าง” ขึ้นอย่างวิปริต!
เป็นสาเหตุและต้นตอก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นในชาติ โดยไม่มีใครรู้ว่า “ระเบิดเวลา” หรือความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทย สุดท้ายจะจบลงอย่างไร?
นอกจากนั้นแต่ละวันเดือนปีที่ผ่านไปโดยไม่มีรัฐบาลรับผิดชอบการบริหารบ้านเมืองให้เป็นเรื่องเป็นราว ล้วนสร้างความเสียหายต่อชาติอย่างไม่อาจประเมินค่าได้
เหตุผลที่ ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่เลือกนายพิธาให้เป็นนายกฯ แม้กระทั่ง คนมียศนายพล หลายคนกล้าๆ กลัวๆ ใช้วิธี งดออกเสียง หรือ ไม่เข้าประชุม ซึ่งแท้จริงก็คือ การไม่เห็นชอบ
คำอธิบายที่ได้ยินจากการอภิปรายก็คือ เป็นหัวหน้าพรรคที่มีนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่พวกเขาไม่ต้องการให้ใครหยิบยกขึ้นพิจารณาหรือแตะต้อง
มีความหมายคล้ายกับว่า ถ้าพรรคก้าวไกลไม่มีนโยบายแก้กฎหมายมาตรานี้ ส.ว.ส่วนใหญ่ก็จะเห็นชอบให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี อาจมีจำนวนเกินกึ่งหนึ่งจนถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลได้
เป็นเหตุผลที่พูดเพื่อให้พวกเขาดูดี โดยไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น
หลังการยึดอำนาจตั้งแต่ สนช. มาจนถึง ส.ว.แต่งตั้ง ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการ กลั่นกรองโดยผู้นำคณะรัฐประหาร มีการรับรองจากผู้เกี่ยวข้อง เป็นอย่างดีแล้วว่า เป็นผู้ที่สามารถไว้ใจได้!
หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดผ่านสื่อของผู้มีอำนาจคนหนึ่งว่า จะตั้งใคร ก็ต้องคุมได้!
ฉะนั้น จึงไม่มีบุคคลใดที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมหรือปฏิรูปกฎหมายสำคัญเพื่อประชาชนแท้จริงอะไรที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาในจำนวน 250 คนแต่อย่างใด
ฉะนั้น ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะมีนโยบายแก้มาตรา 112 หรือไม่ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะลงคะแนนให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีกันง่ายๆ หรือแทบเป็นไปไม่ได้
แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนจึงไม่ควรดิ้นรนหรือพยายามติดต่อขอให้ใครไปช่วยพูดคุยกับ ส.ว. ขอให้เขาช่วยเลือกให้เสียอารมณ์และเวลาเช่นที่ผ่านมา
กฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น อันที่จริงไม่ได้มีปัญหาและความจำเป็นที่ใครจะต้องคิดแก้ไขอะไรในเวลานี้แต่อย่างใด
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะความผิดหรืออัตราโทษจำคุกขั้นต่ำสามปีถึงสิบห้าปีที่บางคนบอกว่าสูงเกินไป เนื่องจากถูกแก้ไขโดยคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในปี 2519
ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นเพราะ การสอบสวนแบบมั่วๆ ของตำรวจไทยที่ทำกันมานาน
ตั้งแต่การ ออกหมายเรียกผู้ต้องหา และ เสนอศาลออกหมายจับ ประชาชนแสนง่าย!
หัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้ไม่มีความรู้ทางกฎหมายไม่กล้าแยกแยะว่า การกระทำใดเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
การใดเป็นการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่วิจารณ์ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิชาการ หรือการพูดคุยของผู้คนที่ไม่เข้าข่ายความผิดกฎหมายอะไร
รวมไปถึง อัยการไทย ส่วนใหญ่ก็มีปัญหา แม้ไม่แน่ใจหรือเห็นว่าไม่เป็นความผิด ก็ไม่กล้า
“สั่งไม่ฟ้อง” ให้ความยุติธรรมกับประชาชน
คิดกันเพียงให้พ้นตัวแบบอัยการโบราณว่า ผิด-ถูก ค่อยไปว่ากันในชั้นศาล!
เป็นกระบวนการยุติธรรมวิปริตที่หลายคดีบุคคลผู้ไม่ได้กระทำผิดอาญาต้องถูกตำรวจออก หมายเรียกเป็นผู้ต้องหา หรือว่าศาล ออกหมายจับ อย่างไม่เป็นธรรมเดือดร้อนกันแสนสาหัสตลอดมา
ส่วนคนที่กระทำความผิดจริง ไม่ว่าจะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย ตามที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้
ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เห็นใจอะไร เมื่อทำผิดกฎหมาย ทุกคนก็ต้องได้รับโทษตามที่รัฐบัญญัติไว้
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าตัวบทมาตราและอัตราโทษในเรื่องนี้ไม่มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมสมัยใหม่จำเป็นต้องมีการแก้ไข ซึ่งในความเป็นจริง ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นไม่ว่าประเด็นใด
พรรคก้าวไกลควรหันไปให้ความสำคัญกับการ ปฏิรูประบบการสอบสวน ให้เป็นไปด้วยความสุจริตและมีประสิทธิภาพในทุกคดีจะดีกว่า
ด้วยการเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาสามมาตรา คือ
1.การออกหมายเรียกผู้ต้องหาหรือเสนอศาลออกหมายจับ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการตรวจพยานหลักฐาน โดยอัยการต้องมั่นใจว่าเมื่อแจ้งข้อหาหรือจับตัวบุคคลใดมาแล้ว จะสามารถสั่งฟ้องพิสูจน์ความผิดให้ศาลพิพากษาลงได้
2.อัยการมีอำนาจตรวจสอบหรือควบคุมการสอบสวนคดีสำคัญหรือคดีที่มีปัญหาประชาชนร้องเรียนว่าพนักงานสอบสวนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่เกิดเหตุ
3.กระทรวงทบวงกรมที่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายใด ให้มีอำนาจสอบสวนความผิดนั้นอีกส่วนหนึ่งด้วย โดยพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจยังมีหน้าที่และอำนาจในการสอบสวนตามปกติ
แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ อาญา เพียงสามมาตรานี้ ปัญหาการดำเนินคดีมาตรา 112 และอีก 397 มาตราตามกฎหมายอาญา รวมทั้ง พ.ร.บ.ที่มีโทษอาญา แบบมั่วๆ รวมไปถึง การสอบสวนล้มคดี ของตำรวจไทย
รวมไปถึงการ สั่งฟ้องแบบป้องกันตัว ของอัยการไทยจะหมดไป
เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอาญาของชาติครั้งใหญ่
ที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 17 ก.ค. 2566