กฎหมายปฏิรูปตำรวจผ่านสภาแล้วจริงหรือหลอก?
กฎหมายปฏิรูปตำรวจผ่านสภาแล้วจริงหรือหลอก?
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
การแก้ปัญหาทุกเรื่องในทุกองค์กรนั้น อันดับแรก ผู้มีอำนาจต้องยอมรับเสียก่อนว่า มีปัญหา ตามมาด้วยการค้นหาสาเหตุที่แท้จริง และพยายามแก้ไขด้วยวิธีการต่างๆ
ถ้าจำเป็นก็ต้อง “ปฏิรูป” หากปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากโครงสร้างองค์กรและระบบงานที่แก้ไขหรือปรับปรุงอะไรไม่ได้
แต่ถ้าเริ่มต้นก็ไม่ยอมรับว่ามีปัญหา หรือว่าวิเคราะห์สาเหตุผิด แม้จะจริงจังและจริงใจเพียงใด ก็ไม่มีทางที่ขจัดปัญหาให้หมดไปได้
ทุกวันเวลาที่ผ่านไป มีผู้คนโดยเฉพาะคนยากจนในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาตำรวจทุจริตประพฤติมิชอบละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมากมายในหลายๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการที่ “ตำรวจผู้ใหญ่” ละเลย หรือ “รู้เห็นเป็นใจ” ให้มีแหล่งอบายมุขทั้งบ่อนการพนันและสถานบันเทิงผิดกฎหมายเปิดเกินเวลาค้ายาเสพติดทำลายสังคม ส่งผลเสียหายต่อเด็กและเยาวชนที่นายกรัฐมนตรีพูดอย่างเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเมื่อวันเด็กที่ผ่านมา?
การปฏิบัติหน้าที่อย่างลุแก่อำนาจ สั่งพนักงานสอบสวนไม่ให้รับคำร้องทุกข์หรือให้แจ้งข้อหาประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งการเสนอศาลออกหมายจับบุคคลผู้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอะไรก็ปรากฏให้เห็นอยู่มากมาย
นอกจากกรณี นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ พ่อค้าไก่ย่างในจังหวัดนครพนมที่ถูกตำรวจเสนอศาลออกหมายจับข้อหาชิงเพชรสิบล้าน ซึ่งเป็นผลงานการสืบสอบของ ตำรวจนครบาล ผู้รับผิดชอบพื้นที่ ตามจับตัวไปขังไว้ที่รีสอร์ตในจังหวัด ถูกซ้อมทำทารุณกรรมเพื่อให้รับสารภาพบอกที่ซ่อนเพชร!
สุดท้ายปรากฏหลักฐานว่า วันเกิดเหตุ นายพิสิษฐ์อยู่ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาลจังหวัดนครพนมอย่างชัดเจน เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง อัยการไม่ฎีกา คดีถึงที่สุดไปเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัญหาคือ พยานหลักฐานซึ่งสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาได้เป็นอย่างดีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ได้มีการรวบรวมไว้ให้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนที่ พนักงานอัยการควรได้เห็น และสามารถสั่งไม่ฟ้องไปโดยไม่ต้องให้คดีไปถึงศาล?
รายสุดท้ายที่เป็นข่าว ก็คือ นายอุทัย ศรีมา หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี มีอาชีพทำนาทำไร่อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ถูกศาลออกหมายจับข้อหาขับรถชนคนตายที่จังหวัดระยองแล้วหลบหนี คดีเกิดตั้งแต่ปี 2548
ทั้งที่นายอุทัยขับรถไม่เป็น และไม่เคยไปจังหวัดระยองแต่อย่างใด รวมทั้ง พยานที่เป็นคนเจ็บก็ยืนยันว่าไม่ใช่ และตำรวจก็ได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่า น่าจะเป็นการออกหมายจับผิดตัว เนื่องจากชื่อและนามสกุลนี้มีพ้องกันอยู่ถึงสี่คน และเจ้าตัวก็คิดว่าเรื่องคดีไม่มีปัญหาแล้ว
แต่ในปี 2560 เขากลับถูกตำรวจนำหมายไปตามจับถึงบ้านคุมตัวไปดำเนินคดีที่ระยอง ทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสินหาเงินมาประกันตัวจำนวน 120,000 บาท และต้องเดินทางไปพบอัยการตามนัดที่จังหวัดทุกเดือน!
แต่ละครั้งไปกันทั้งบ้านตามประสาคนชนบท เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต่ำกว่าห้าพัน ระหว่างที่อัยการยังไม่สั่งคดี โดยมีคำสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมในหลายประเด็น จนนายอุทัยแทบจะกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวอยู่ขณะนี้ คดีก็ยังไม่จบเสียที ไม่รู้ว่าจะต้องไปรายงานต่ออัยการอีกกี่ครั้งกี่ปี?
ร้องต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว ก็ไม่สามารถช่วยเหลือหรือมีวิธีจัดการปัญหาอะไรได้?
ปัญหาตำรวจ แจ้งข้อหาประชาชนกันมั่วๆ แล้วสุดท้าย “อัยการสั่งไม่ฟ้อง” หรือ “ศาลยกฟ้อง” ทำให้ประชาชนแต่ละคนได้รับความเดือดร้อนกันแสนสาหัสนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรได้อย่างที่บางคนชอบพูดให้เหตุผลว่า เป็นเพราะประเทศไทยใช้ระบบกล่าวหาในการดำเนินคดีอาญาจริงหรือ?
ทั้งที่ไม่ว่าจะใช้ระบบอะไร ปัญหานี้ก็มีวิธีแก้ไขได้ง่ายๆ โดยรัฐบาลก็คือ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงหนึ่งมาตราว่า
“การออกหมายเรียกบุคคล เป็นผู้ต้องหา หรือ เสนอศาลออกหมายจับ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานอัยการในการตรวจพยานหลักฐานก่อน โดยอัยการต้องมั่นใจว่า เมื่อแจ้งข้อหาหรือจับตัวบุคคลนั้นมาแล้ว จะสามารถสั่งฟ้องคดีพิสูจน์ความผิดให้ศาลลงโทษได้เท่านั้น”
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ล้าหลังประเภท ไม่มั่นใจในพยานหลักฐาน แต่อัยการก็ต้องสั่งฟ้องไปตามที่ตำรวจเสนอ เพราะไม่อยากถูกตำรวจทำความเห็นแย้งเสนออัยการสูงสุด อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อตนเองตามมา
เป็นการโยนภาระให้ประชาชนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนให้พ้นจากบ่วงอาญาตามระบบจารีตนครบาลนั้น ควรจะเลิกกันเสียที
ไม่มีประเทศที่เจริญใดในโลกที่ผู้บริสุทธิ์ถูกดำเนินคดีกันมากมาย ส่วนคนร้ายตัวจริง รัฐกลับปล่อยให้ “ลอยนวล” เนื่องจากหลักฐานการกระทำผิดที่อัยการฟ้องไปไม่พอให้ลงโทษ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ทำให้ “อาชญากรกลายเป็นผู้บริสุทธิ์” สามารถเดินเย้ยผู้เสียหายให้เกิดความคับแค้นใจได้เช่นประเทศไทย!
ช่วงนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการให้รัฐมนตรีและผู้รับผิดชอบฝ่ายต่างๆ เตรียมแถลงสรุปผลงานการบริหารประเทศในช่วงเวลาเกือบห้าปีที่ผ่านมาหลังเข้า ยึดอำนาจ
ก็คงจะมีการนำตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความสำเร็จด้านต่างๆ มาแสดงเป็นหลักฐานประกอบการแถลงผลงาน ซึ่งไม่ทราบว่าแต่ละเรื่องจะตรงกับ ความเป็นจริงที่ซ่อนเร้น และ เป็นที่เชื่อถือของประชาชนมากน้อยเพียงใด?
โดยเฉพาะเรื่อง การปฏิรูปตำรวจ ซึ่งมีรัฐมนตรีผู้ที่กำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐคนหนึ่งออกมาบอกเมื่อสองวันก่อนว่า ได้เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว กฎหมายได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติไปด้วยดี?
ผู้คนที่สนใจได้ฟังแล้ว ต่างงุนงง กฎหมายปฏิรูปตำรวจอะไรที่ผ่านสภาไปดังว่า
เพราะในความเป็นจริง ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นกฎหมายปฏิรูปตำรวจสำคัญที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาร่างใหม่ หลังจากมอบหมายให้ พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธานดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ครั้งแรกไม่เป็นที่พอใจ
ได้ถูกร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งมีสาระสำคัญในหลายประเด็น เช่น ให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน แพทย์พยาบาล และการศึกษาโรงเรียนตำรวจต่างๆ เป็นตำรวจไม่มียศแบบทหาร
ให้โอนหลายหน่วยงานไปยังกระทรวงและส่วนราชการที่รับผิดชอบ เช่น ตำรวจป่าไม้ไปกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุบตำรวจรถไฟ และตำรวจจราจรไปเทศบาลนครและเมืองใหญ่
ในเรื่องการแต่งตั้ง ก็กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมต่อตำรวจส่วนใหญ่ ป้องกันมิให้มี การขายตำแหน่ง ให้ประชาชนร่วมประเมินผลการปฏิบัติงานของตำรวจในพื้นที่ ฯลฯ ถือว่าดีขึ้นระดับหนึ่ง
แม้จะยังไม่สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเรื่อง ตำรวจจังหวัด ตำรวจต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบประเมินผลและการกำกับควบคุมของ คณะกรรมการกิจการตำรวจจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการเป็นประธาน ไม่ว่าจะมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งในอนาคตก็ตาม
ร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจฉบับนี้ได้ถูกส่งไปให้นายกรัฐมนตรีเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2561 เพื่อให้รีบส่งถึงประธานสภา สนช. ให้พิจารณาตราเป็นกฎหมายใช้บังคับให้เกิดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
แต่ปรากฏว่า จนกระทั่งป่านนี้ ร่างดังกล่าวยังไม่ได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด โดยไม่มีใครรู้เหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริง?
ทราบว่าได้มีการส่งไปให้ตำรวจแห่งชาติพิจารณาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่กระบวนการร่างกฎหมายได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างรอบด้านตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 77 เรียบร้อยแล้ว
ใครเป็นคนสั่งให้ส่งไป และส่งกลับไปเพื่ออะไร มีเจตนาอย่างไร ไม่เคยมีใครชี้แจงหรืออธิบาย? กฎหมายปฏิรูปตำรวจยังไม่ได้ผ่านแม้กระทั่งความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี แต่กลับมีคนของรัฐบาลบอกว่า การปฏิรูปตำรวจเสร็จแล้ว!
ถือเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชนหรือไม่? และการแถลงในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย จะเชื่อถือได้เพียงใด?.
ที่มา:คอลัมน์: เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: Monday, January 28, 2019