‘นโยบายกัญชา’ พาเข้าคุก!

ยุติธรรมวิวัฒน์

                                                                      ‘นโยบายกัญชา’ พาเข้าคุก!

                                                                                                                              พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ประเทศไทยวันนี้ มีเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ก่อให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชนเกิดขึ้น แม้กระทั่งเจ้าพนักงานของรัฐหลายฝ่ายในระบบงานรักษากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

ไม่ว่าจะเป็นพนักงานฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด  นายอำเภอและตำรวจผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งอัยการหรือศาล ก็ตาม

ด้วยเหตุจาก ความเขลา และ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของคนบางกลุ่ม คือการออกและตีความตามกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่เรียกว่า “ประมวลกฎหมาย” ประกาศใช้ในวันที่ 9 ธันวาคม 2564

ไม่รู้ ผู้เป็นต้นคิดและรับผิดชอบ ออกกฎหมายกันอย่างไรจึงส่งผลทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้าใจว่ากัญชาไม่มีฐานะเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายอีกต่อไป

ใครใคร่ปลูกก็ปลูกได้ ใครอยากค้าหรือเสพ ก็ค้าและเสพได้ตามสบาย!

ต่อไปคนไทยและชาวต่างชาติทั้งหญิงชายทุกวัยจะได้มีความสุขสนุกสำราญกับการสูบ หรือ เสพกัญชา หัวเราะร่าครื้นเครงกันทั้งวัน!

บางคนก็ถึงขนาด ฝัน จะทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนปลูก หรือคือการผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อส่งออก หารายได้เข้าประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ฟุบไม่โงหัวมานานหลายปีจนกระทั่งบัดนี้

มีนักการเมืองพรรคใหญ่ฝ่ายรัฐบาลรับรองว่า ถ้าใครถูกเจ้าพนักงานของรัฐไม่ว่าหน่วยใดจับ ให้โทรศัพท์บอกได้ที่หมายเลข 0-2940-6999 ตลอดเวลา จะจัดหาทนายไปว่าความสู้คดีให้

'นโยบายกัญชา' พาเข้าคุก!

ในขณะที่ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. กลับบอกตรงกันข้ามว่า

กัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย ไม่มีผู้ใดสามารถปลูก ขนค้า หรือครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐเช่นเดิม

แต่ “ปัญหาใหญ่” ก็คือ  ประชาชนจำนวนมากแทบทั้งประเทศได้หลงเข้าใจไปแล้วว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดผิดกฎหมายไทยอีกต่อไป!

เป็นไปตามที่พรรคการเมืองใหญ่ได้ประกาศนโยบายหาเสียงไว้ว่าจะให้ประชาชนสามารถปลูกได้บ้านละ 6 ต้น

หลายคนหลายบ้านได้มีการจัดหาเมล็ดพันธุ์ รวมทั้งต้นกล้าหรือว่าดอกใบ ทั้งนำมารักษาโรค หรือเตรียมไว้หรือได้ลักลอบ “ปลูก” “ขนค้า” รวมทั้ง “เสพ” ในรูปต่างๆ กันไปแล้วทั่วประเทศมากมาย!

รอแต่การออกกฎหมายให้สามารถกระทำได้อย่างถูกต้องมารองรับ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป เช่นเดียวกับการ ปลูก ค้า และเสพพืชกระท่อม ที่พบเห็นได้ตามถนนหนทางกันมากมายในปัจจุบันเท่านั้น!

ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดใหม่ใช้เวลาหลายปี โดยที่ไม่ระบุให้ชัดเจนเช่นเดิมว่ากัญชาเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งอีกต่อไป

ทำให้แม้กระทั่งนักกฎหมายหลายคนก็เข้าใจว่า สิ่งใดถ้าไม่กำหนดไว้ในกฎหมายประชาชนก็ย่อมสามารถปลูก ค้า หรือมีไว้ในครอบครองได้ ไม่มีความผิดอะไร

เป็นไปตามหลักความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2  ที่บัญญัติว่า

“บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดนั้น  ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”

ถือเป็นหลักการที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักนิติธรรมสากลทุกประการ ไม่มีใครโต้แย้งหลักกฎหมายบทนี้แต่อย่างใด

แต่ปัญหาคือ จริงหรือไม่ที่ว่าปัจจุบันไม่มีกฎหมายบัญญัติให้กัญชาเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายชนิดหนึ่ง

ซึ่งผู้ปลูกคือการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุกถึงห้าปี และปรับถึง 500,000 บาท และถ้า เป็นการกระทำเพื่อการค้ามีโทษจำคุกถึงสิบห้าปี และปรับถึง 1,500,000 บาท

เนื่องจากแม้กัญชาไม่ได้ถูกกำหนดว่าเป็นยาเสพติดไว้ในประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้วก็ตาม

แต่ก็ยังคงถือเป็นยาเสพติดตาม กฎหมายลำดับรอง อยู่ ซึ่งก็คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดที่บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในการประกาศกำหนด และได้ออกมาก่อนนั้น

คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2563

ข้อ 2 (1) กัญชา (canabis) พืชในสกุล Canabis และวัตถุหรือสารต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา เช่น ยาง น้ำมัน ยกเว้นวัตถุหรือสารดังต่อไปนี้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศคือ

(ก) เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก

(ข) ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย

(ค) สารสกัดที่มีสารแคนาบิไดออล (cannabidol, CBD) เป็นส่วนประกอบและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล  (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก

(ง) กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและต้องมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) ไม่เกิน 0.2 โดยน้ำหนัก

สรุปก็คือ การครอบครองหรือเสพกัญชา ถ้าจะไม่ให้เป็นความผิดตามกฎหมายก็คือ

 ต้องมีแต่ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน และราก เฉพาะที่มีแหล่งผลิตซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐแล้วเท่านั้น เพราะว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ได้

แต่ในส่วนอื่นๆ เช่น ใบ ช่อดอกและเมล็ด ยังคงถือเป็นยาเสพติดประเภท 5 มีโทษทางอาญาตามที่บัญญัติไว้

ซึ่งถ้ารัฐไม่ต้องการให้เป็นความผิดในทุกกรณีเพื่อที่ประชาชนจะได้ปลูก ค้า และเสพกัญชาอย่างเสรีให้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก!

ก็ต้องยกเลิกหรือแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน

ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อนจากการถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายส่งให้อัยการฟ้องศาลพิพากษาจำคุกกันทั่วประเทศมากมาย

โดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยให้รอดพ้นจาก “ความผิดอาญา” ได้แต่อย่างใด!.

 'นโยบายกัญชา' พาเข้าคุก!

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ:ฉบับวันที่ 17 ม.ค. 2565

About The Author