‘พี่เตี้ย’ ถูกตำรวจอุ้มฆ่า หรือว่า อุบัติเหตุ ทำไมจึงพิสูจน์ยากเย็น – พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
‘พี่เตี้ย’ ถูกตำรวจอุ้มฆ่า หรือว่าอุบัติเหตุ ทำไมจึงพิสูจน์ยากเย็น
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
กรณี พี่เตี้ย สุนัขนักกิจกรรม ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาชัยเชียงใหม่ ได้หายไปจากบริเวณที่พักนอนเมื่อคืนวันที่ 3 พ.ค.63 ทำให้มีผู้คนที่เป็นห่วงช่วยกันตามหาและพบเป็นศพหรือซากอยู่ริมถนนเปลี่ยวผ่านป่าละเมาะหลังมหาวิทยาลัยในวันที่ 7 พ.ค. หรือ 4 วันต่อมา
ระยะแรกไม่มีใครรู้ว่าพี่เตี้ยหายหรือออกไปตายนอกมหาวิทยาลัยที่เปรียบเสมือนบ้านของพี่ได้อย่างไร?
ผู้รักความยุติธรรมทั้งนักศึกษาเก่าและใหม่ อาจารย์และประชาชนผู้รักสัตว์ทั่วประเทศ จึงได้มีการประสานงานกันในโลกออนไลน์ช่วยกันสืบค้นความจริงอย่างหนัก
จนกระทั่งได้หลักฐานจากกล้องวงจรปิดในมหาวิทยาลัยนำมาเผยแพร่ ปรากฏมีชายขี่รถจักรยานยนต์คนหนึ่งซึ่งภาพไม่ชัดเจน พาพี่เตี้ยออกไปในเวลาประมาณ 20.34 น. แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร?
ต่อมาคนร้ายคงเห็นว่าหลักฐานใกล้เข้าไปทุกที ตำรวจยศสิบตำรวจโทสังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 33 นายหนึ่งจึงปรากฏตัวออกมา!
รับว่าเป็นผู้ขี่รถพาพี่เตี้ยออกไปในเวลาดังกล่าวจริง โดยบอกว่ามีเจตนาพาพี่เตี้ยไปนั่งรถจักรยานยนต์กินลมชมวิวเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ จะได้หายเครียดจากการร่วมทำกิจกรรมหนักกับนักศึกษาวิ่งขึ้นดอยมาหลายวัน? แต่กลับเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน พี่เตี้ยได้พลัดตกจากรถและถูกล้อหลังของจักรยานยนต์ทับจนเสียชีวิต!
ตนเองกลัวความผิด เลยนำศพหรือซากไปทิ้งไว้ข้างถนนบริเวณที่เกิดเหตุนั้น และใช้ใบไม้กลบอำพรางไว้ ปัญหาคือ คำพูดของตำรวจคนดังกล่าวเชื่อได้หรือไม่?
แล้วเหตุใด ถ้ารักและห่วงพี่เตี้ยและเป็นเรื่องอุบัติเหตุจริง เหตุใดจึงไม่แจ้งและแสดงความเสียใจต่อผู้คนแต่แรก พร้อมทั้งเปิดเผยหรือ จำลองเหตุการณ์ ให้สังคมได้รู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันอย่างไร
และเผชิญหน้าตอบคำถามต่อประชาชนและสื่อมวลชนในประเด็นที่ผู้คนสงสัยหลายเรื่อง
หลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์ว่ากรณีดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุหรือตำรวจคนดังกล่าวมีเจตนาทำร้ายหรือแม้กระทั่งฆ่าให้ตายก็คือ
การตรวจชันสูตรศพหรือซากพี่เตี้ยโดยหน่วยงานที่เชื่อถือไว้ใจได้
เรื่องคนซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์พลัดตกลงมาหัวฟาดพื้นตายในกรณีที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงอาจเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับสุนัขตกจากรถตายในทางที่แทบจะเรียกว่าเป็น “ถนนคนเดิน” กว้างเพียง 3-4 เมตร นั้น ไม่มีใครเคยได้ยิน!
ถนนแคบขนาดนี้ แม้สุนัขจะพลัดตกมา ก็น่าจะแค่บาดเจ็บเท่านั้น
คำถามก็คือ ตำรวจคนดังกล่าว ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนพาพี่เตี้ยไปเที่ยวอะไรในยามวิกาลในบริเวณที่ทั้งมืดและเปลี่ยวเช่นนั้นกันแน่?
และอันที่จริงการพิสูจน์ว่าพี่เตี้ยถูกล้อหลังจักรยานยนต์ทับระหว่างพลัดตก หรือใครขี่กลับมาทับซ้ำ แม้กระทั่งใครใช้อะไรทุบให้ตาย หรือ ยิงซ้ำ อย่างที่มีคนได้ยินเสียงปืนสี่นัดในช่วงเวลา 20.50 น. ในความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
แม้ผลการตรวจพบ รอยเล็กๆ สี่รู ที่ร่างพี่เตี้ย จะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากกระสุนปืนสอดคล้องกับคำพยานที่ได้ยินเสียงปืนหรือไม่?
เนื่องจากกองพิสูจน์หลักฐานตรวจไม่พบปลอกและหัวกระสุนในบริเวณที่เกิดเหตุนั้น?
แต่ถ้าได้มีการตรวจหาเขม่าดินปืนกันที่ร่างพี่เตี้ยแล้วแม้พบเพียงเล็กน้อย ก็เป็นหลักฐานชัดเจนว่าถูกยิงแน่นอน ได้มีการตรวจไว้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่พบปลอกหรือหัวกระสุนหรือแม้กระทั่งเขม่าดินปืน ก็อาจตรวจร่องรอยแตกหักที่โครงกระดูกซึ่ง อาจปรากฏให้เห็นอยู่ได้
คดีสะเทือนขวัญประชาชน ที่มีผู้คนสนใจกันมากมาย เรียกร้องให้รัฐจับคนร้ายใจอำมหิตมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้กรณีนี้ ปัจจุบันตำรวจเชียงใหม่ ก็ยังงงอยู่ไม่หาย!
เนื่องจากได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่กระทบต่อความรู้สึกของผู้คนมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ต้องสงสัยกลายเป็นตำรวจเสียเอง!
มีตำรวจผู้ใหญ่ ให้สัมภาษณ์แบบศรีธนญชัยถามหาว่าใครเป็นเจ้าของพี่เตี้ยกันวุ่นวาย!
เพราะรู้ว่า ในทางกฎหมาย ถ้าพี่เตี้ยไม่มีเจ้าของ ตำรวจคนที่นำพี่เตี้ยขึ้นรถออกไปกินลมชมวิวตอนดึกแล้วเกิดอุบัติเหตุตาย ก็ไม่มีความผิดทางอาญาอะไร
ไม่ว่าจะเป็นข้อหาลักทรัพย์หรือกระทำทารุณต่อสัตว์ แต่ถ้ามีใครแสดงพยานหลักฐานได้ว่าเป็นเจ้าของหรือผู้ปกครอง บุคคลนั้นก็ถือว่าเป็น ผู้เสียหาย ใน คดีอาญา สามารถแจ้งความว่า ถูกลักทรัพย์ในเวลากลางคืน มีโทษจำคุกถึงห้าปีตามมาตรา 335 (1) ได้
สำหรับข้อหาลักทรัพย์ ขณะนี้ได้มีผู้แสดงหลักฐานความเป็นเจ้าของพี่เตี้ยและได้ไปแจ้งความกล่าวโทษ ส.ต.ท.นายหนึ่งว่าเป็นคนร้ายลักเอาไปตามหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดที่ชัดเจนต่อพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงค์ แล้ว
รวมทั้งกล่าวโทษว่า ทารุณสัตว์ ซึ่งเป็น “ความผิดต่อรัฐ” ที่มีกรมปศุสัตว์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ อีกข้อหาหนึ่ง
ซึ่งพยานหลักฐานตามข้อหานี้ ยังไม่ปรากฏชัดว่าตำรวจคนดังกล่าวได้ทำร้าย ทำทารุณกรรม หรือแม้กระทั่งฆ่าพี่เตี้ยด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ตำรวจเชียงใหม่ก็ยังไม่ได้มีการออกหมายเรียก ส.ต.ท.คนดังกล่าวมาแจ้งข้อกล่าวหา หรือเสนอศาลออกหมายจับ แม้กระทั่งข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน มีโทษจำคุกถึงห้าปี โดยไม่จำเป็นต้องมีหมายเรียกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ก่อนเหมือนที่ปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไปแต่อย่างใด?
อ้างว่า ยังไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่จะแจ้งข้อหาใดกับตำรวจนายนี้ได้!.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 25 พ.ค. 2563