ประเด็นทางกฎหมาย กรณี ‘อาต่าย’ กับ ‘หลานพีช’

ประเด็นทางกฎหมาย กรณี ‘อาต่าย’ กับ ‘หลานพีช’

 

                                                                พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

ปัจจุบันผู้คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ตกอยู่ในความสับสนต่อปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หลักความยุติธรรม” ที่สั่นคลอนและกำลังเดินไปสู่ความพินาศอยู่ทุกขณะ!

ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติไม่เชื่อถือเชื่อมั่นว่า ความยุติธรรมมีอยู่จริงในประเทศไทย ที่บอกว่าเป็นรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานเกือบร้อยปี

คนจำนวนมากเชื่อว่า ถ้ามีเงินและมีอำนาจ จะละเมิดกฎหมายไทย ทำให้ตนและครอบครัวแม้กระทั่งบริวารมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นอย่างไรก็ได้

ไม่จำเป็นต้องเคารพกฎหมายให้เสียเวลาเหมือนคนทั่วไป

คนที่ศาลชี้ว่ากระทำความผิดทางอาญา พิพากษาลงโทษให้จำคุกถึงแปดปี

แต่ไม่ต้องติดคุกอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียวเช่นนักโทษทั่วไปก็ยังมีให้เห็นได้อย่างแสนประหลาด

ไม่มีชาติใดในโลกสามารถทำได้เหมือนประเทศไทย!

เรื่อง อาต่าย กับ หลานพีช ที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในสังคมขณะนี้ กรณีขับรถชนรถลุงกับป้าบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเขตอำเภอลำลูกกา

เพราะว่าหลานพีชต้องการให้ลุงหยุดรถลงมาพูดคุยกันเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลังขับออกจากด่านเก็บเงิน

ประเด็นในเรื่องนี้คือ ใครทำผิดกฎหมายอะไรมาตราใดบ้าง?

ต้องยอมรับว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากออกแบบเครื่อง หมายจราจรที่บกพร่อง!

โดยหลักวิศวกรรมจราจร ช่องทางตรงของรถลุงหลังจากออกจากด่านเก็บเงิน จะต้องแล่นไปข้างหน้าได้อย่างปลอดภัยตามเส้นประสีขาวที่กำหนดไว้

เปรียบเสมือนเกราะคุ้มครองสิทธิการใช้ทางของรถทุกคัน

ไม่ใช่รถทางหลักแล่นมาดีๆ แต่ปรากฏว่าช่องทางของตนได้หายไป!

ทำให้ต้องตัดสินใจเปลี่ยนเลนไปทางใดทางหนึ่งอย่างกะทันหันและอันตรายทั้งสองด้านเช่นนี้

ช่องทางที่มีกลายเป็นสิทธิของรถจากด้านข้างที่วิ่งไขว้มา ก่อให้เกิดปัญหาอุบัติเหตุได้ง่าย

อย่างไรก็ดี เมื่อมีกรณีรถชนกันเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ตามกฎหมายในการ หยุดรถ และแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน รวมทั้งให้การช่วยเหลือกันและกันตามสมควร

เป็นไปตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78 ที่บัญญัติไว้ว่า

ผู้ใดขับรถหรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถหรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร พร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย

ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและให้ตำรวจมีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่ จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อตำรวจภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้จากการกระทำผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำผิด และให้ตกเป็นของรัฐ

ผู้ฝ่าฝืนมาตรา 78 มีโทษตามมาตรา 160 มีโทษจำคุกถึงสามเดือน

ถ้าการไม่ปฏิบัติตามนั้น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือตาย มีโทษจำคุกถึงหกเดือน

กรณีดังกล่าวเป็นที่เข้าใจและรู้กันในหมู่ประชาชนว่าเป็น การชนแล้วหนี นั่นเอง

จากภาพที่ปรากฏ ต้องยอมรับว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุในครั้งแรก ไม่ว่ารถจะโดนกันและลุงทราบเหตุหรือไม่

แต่ลุงไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายในการหยุดรถแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานทันที

ส่วนกรณีที่อาจอ้างว่าไม่ทราบ ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่?

ส่วนในกรณีที่ “หลานพีช” ขับรถตามไปไล่ดักหน้าดักหลังหวังให้ลุงหยุดรถ และสุดท้ายได้หักรถเข้าไปชนรถลุงจนเสียหายและเสียหลัก ทำให้ทั้งลุงกับป้าได้รับบาดเจ็บสาหัส

เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้ทำเช่นนั้น แม้อาจจะอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนก็ตาม

ทำให้หลานพีชมีความผิดฐาน “ทำร้ายร่างกาย”

แม้ไม่ได้เจตนา แต่ก็ถือว่า “เล็งเห็นผล” อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งตายได้

ตามหลักกฎหมายอาญา มาตรา 59

 มีโทษตามมาตรา 297 จำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี

สรุปว่าลุงกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ข้อหาขับรถประมาท เป็นเหตุให้โดนรถอื่นเสียหาย เพราะขับรถทับเส้นแนวแบ่งช่องเดินรถ ซึ่งเป็นข้อห้ามตามมาตรา 43 (6) เพราะช่องทางนั้นได้กำหนดไว้ให้รถที่มาจากด้านข้างแล่นได้อย่างปลอดภัย?

โดย อำนาจของเครื่องหมาย ลุงจะเปลี่ยนช่องทางไม่ได้ตราบที่ยังมีรถอื่นแล่นมาในช่องทางนั้นและไม่ปลอดภัย

ส่วนประเด็น อาต่าย ไปงานบวช หลานพีช ทำให้เขามั่นใจในการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย

แต่พอเกิดเหตุ อาต่ายก็บอกว่าไม่ได้รู้จักมักคุ้นหรือนับญาติด้วยแต่อย่างใด!

ทั้งหลานพีช คุณพ่อ คงบ่นให้ใครฟังดังๆ หรือไปต่อว่าอะไรไม่ได้

สะท้อนว่า ประเทศไทยเป็น สังคมหน้ากาก

คนจำนวนมากไปงานวันเกิด งานบวช งานแต่ง แม้กระทั่งงานศพ โดยไม่รู้จักเจ้าภาพหรือแม้กระทั่งคนตายเลยก็มี

เพราะเจตนาที่แท้จริงก็เพื่อจะได้ไปใกล้ชิดคนมีอำนาจหรือมีเงิน หวังพึ่งพาอาศัยประสานประโยชน์กันในอนาคตต่อไป

การที่ ผบ.ตร.บอกว่า ได้สั่งให้ตำรวจดำเนินคดีนี้อย่างเต็มที่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ เหมือนหลายๆ กรณีที่นายพลตำรวจประเทศไทยชอบพูดกันให้ฟังน่ารำคาญ

เพราะกฎหมายทุกฉบับต้องทำงานโดยเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นอัตโนมัติ

ไม่ต้องมีใครสั่งหรือย้ำ ให้ทำอย่างจริงจังหรือไม่จริงจังแต่อย่างใด!

          ที่มา:  นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ :  ฉบับวันที่ 21 เม.ย. 2568

About The Author