ยกเลิกคำสั่ง คสช.115 ‘คืนอำนาจ’ ให้ผู้ว่าฯ พิจารณาคดีแทน ผบช.ตร.ภาค
ยกเลิกคำสั่ง คสช.115 ‘คืนอำนาจ’ ให้ผู้ว่าฯ พิจารณาคดีแทน ผบช.ตร.ภาค
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ปัญหาตำรวจไทยโดยเฉพาะในเรื่อง การสอบสวนที่ถือเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ที่ประชาชนคนยากจนส่วนใหญ่ต้องทนทุกข์กันอย่างแสนสาหัสในปัจจุบันนี้
ไม่ว่าจะเป็นกรณีพนักงานสอบสวน ไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมายที่ป.วิ อาญา มาตรา 130 บัญญัตติไว้ ส่งให้ พนักงานอัยการตรวจสอบสั่งคดี
อาจกล่าวได้ว่า ปัจจุบันประชาชนผู้เสียหายที่ไปร้องทุกข์กับตำรวจให้ดำเนินคดี จะมี การสอบสวนจริงตามกฎหมายกันไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต เท่านั้น!
สังคมไทยจึงได้เกิดปรากฏการณ์ กัน จอมพลัง,สายไหมต้องรอดและทนายอีกมากมาย ที่ประชาชนผู้เสียหายทั่วประเทศต้องหาทางไปพึ่งพานำไปออกทีวีกันแทบทุกวัน
ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ไม่คิดหวังไปแจ้งความแม้กระทั่งตำรวจกองปราบ ร้องเรียนต่อจเรตำรวจและตำรวจระดับบังคับบัญชาสารพัดหน่วยที่มีอยู่มากมาย
รวมทั้ง “คณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนตำรวจ” ที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็ไม่ต่างกัน!
เพราะรู้ดีว่า การ แจ้งหน่วยตำรวจหรือไม่ว่าหน่วยงานใดไปตามลำพังโดยไม่เป็นข่าวออกสื่อ จะไม่ได้ผลอะไร
ซ้ำยังทำให้เสียเงิน เสียเวลา และอารมณ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก
นอกจากปัญหาพนักงานสอบสวนไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ สร้างความทุกข์ใจให้ประชาชนผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นทุกวันแล้ว
ยังมีเรื่องที่ตำรวจกลายเป็นผู้ร้ายกันมากมายหลายรูปแบบ ผู้คนระแวดระวังกันไม่หวาดไหว!
เพราะไม่รู้ว่าที่แต่งเครื่องแบบและไม่แต่งเครื่องแบบกันนั้น “ใครเป็นตำรวจ ใครเป็นผู้ร้าย” กันแน่!
ปัญหาตำรวจที่หนักหนาสาหัสทุกวันนี้ ประชาชนยังไม่เห็น นายกรัฐมนตรีคนใด ไม่ว่าในอดีตหรือคนปัจจุบันพูดกันว่าจะแก้ปัญหา สังคายนาหรือปฏิรูปอย่างไร?
กรรมาธิการตำรวจ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประชาชนก็พึ่งพาอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีใครสนใจปัญหาตำรวจและความยุติธรรมอย่างแท้จริง
ระหว่างนี้ประชาชนสามารถทำได้เพียงแค่ดูแลตัวเองและลูกหลานไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอันธพาลและคนร้ายไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเครื่องแบบก็ตาม!
ทุกคนต้องพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางในการที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ ไม่ว่าจะในฐานะผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่น่าสนใจในเรื่องการเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
นำโดย สส.วิทยา แก้วภราดัย และคณะ ให้ ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 115/2557
เป็นคำสั่งของรัฐบาลเผด็จการทหารซึ่งได้มาจากการยึดอำนาจ ที่ส่งผลทำให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของชาติอยู่ในสภาพวิบัติป่นปี้เช่นทุกวันนี้!
เป็นกรณีที่ ป.วิ อาญา มาตรา 145 บัญญัติไว้ช้านานว่า หากอัยการจังหวัดสั่งไม่ฟ้องคดีใด ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการทำความเห็นแย้งส่งให้อัยการสูงสุดวินิจฉัย
แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในยุคเผด็จการ ต้องการได้อำนาจนี้ไปเป็นของผู้บัญชาการตำรวจภาค
โดยมุ่งหวังเพื่อทำให้องค์กรตำรวจไทยยิ่งใหญ่อลังการยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่มีใครสามารถตรวจสอบหรือควบคุมได้
ทำให้มีการ “ลักไก่” เสนอต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้ลงนามในคำสั่งที่ 115/57 ยกเลิกอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องนี้
เปลี่ยนเป็นผู้บัญชาการตำรวจภาคแทนทันที
ทำให้คดีที่อัยการจังหวัดเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานการกระทำผิดแม้แต่ พอฟ้อง จึงได้สั่งไม่ฟ้อง ต้องส่งไปให้ผู้บัญชาการตำรวจภาคตรวจ ทุกคดี
รวมไปถึงกรณีที่อัยการจังหวัดไม่อุทธรณ์หรือฎีกาด้วย
โดยมีเจตนาเพื่อที่จะให้ผู้บัญชาการตำรวจภาคได้มีอำนาจและบทบาทเกี่ยวกับคดีอาญาขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่ เป็นองค์กรอ้างว้าง ไม่มีอำนาจสอบสวนและสั่งคดีตามกฎหมายไม่ว่าเรื่องใดกันมานาน
การได้ทำความเห็นแย้งอัยการ จึงเป็นงานที่ดูเหมือนเป็นหน้าเป็นตาของผู้บัญชาการตำรวจภาค
จะมีเหตุผลจำเป็นต้องแย้งอะไรหรือไม่ ก็ไม่สนใจ
ออกคำสั่งให้ ผู้กำกับสอบสวนจำนวนมาก มาช่วยกันนั่งตรวจสำนวน พยายามเขียนความเห็นแย้งอัยการจังหวัดเป็นผลงานสำคัญให้ได้
แม้ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนอะไร ก็ให้เสนอมั่วๆ ไปว่า ขอแย้งหรือแม้แต่ขอให้อัยการสูงสุด สั่งสอบสวนเพิ่มเติม ก็มี
อสส.บางคนที่ไม่ตระหนักในหลักกฎหมายและเกรงใจตำรวจผู้ใหญ่ ก็ยอมสั่งให้ไปตามนั้น!
คดีที่ควรจะจบได้ เพราะสอบสวนครบถ้วนแล้วไม่พบพยานหลักฐานการกระทำผิดอะไรที่สามารถสั่งฟ้องคดีต่อศาลให้พิพากษาลงได้
ก็ไม่จบง่ายๆ เพราะผู้บัญชาการตำรวจภาคทำความเห็นแย้งเสนออัยการสูงสุดไว้ ใช้เวลารอการวินิจฉัยนานนับปี
ปัญหาขยายตัวไปจนกระทั่งมีการพูดกันว่า ถ้าใครไม่มาวิ่ง ก็ให้เขียนแย้งไป!
การเสนอร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ อาญา ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 115/57 จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
กลับมาสู่กฎหมายเดิมที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจทำความเห็นแย้ง
เพราะส่วนใหญ่ หากไม่มีข้อมูลการร้องเรียนหรือพยานหลักฐานอะไรที่จะทำให้ผู้ว่าฯ พิจารณาว่า การสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานั้นผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับพยานหลักฐานทั้งที่ปรากฏในการสอบสวน หรืออาจอยู่นอกสำนวนที่มีผู้นำมามอบให้
ผู้ว่าฯ ก็จะไม่มีความเห็นแย้งอัยการจังหวัดให้เสียเวลาประชาชนคนที่ตกเป็นผู้ต้องหา ทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการถูกตำรวจดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม เพราะไม่มีพยานหลักฐานการกระทำผิดแม้แต่พอฟ้องตามข้อกล่าวหา
ปัญหาการทำความเห็นแย้งอัยการมั่วๆ ของตำรวจไม่ว่าระดับใด ควรแก้ไขยกเลิกทั้งกรณีที่เป็นคดีเกิดในเขตกรุงเทพมหานครที่เป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย
โดยต้องแก้ไขเป็นอำนาจของ “ปลัดกระทรวงมหาดไทย” ในการพิจารณาเพื่อความยุติธรรมอย่างแท้จริง.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 16 ก.ย. 2567