‘ผบ.ตร.คนไหน’ เสนอสินบนให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ 100 ล้าน บอกหารกันคนละครึ่ง?
‘ผบ.ตร.คนไหน’ เสนอสินบนให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ 100 ล้าน บอกหารกันคนละครึ่ง?
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
กรณี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ อดีตรอง ผบ.ตร.ออกมาพูดว่า แก๊งอาชญากรรมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ไม่ใช่นักการเมืองหรือใคร แต่แท้จริงคือ ‘ตำรวจ’ นั่นเอง!
ถือเป็นคำพูดที่เชื่อถือได้ เพราะในอดีต พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เป็นถึงรอง ผบ.ตร. ผู้ทำหน้าที่ในการป้องกันอาชญากรรม ย่อมรู้ข้อมูลแก๊งอาชญากรต่างๆ เป็นอย่างดี และน่าจะเป็นข้อมูลที่มีอยู่นานมากแล้วด้วยซ้ำ
แม้ว่าการออกมาพูดหลังจากถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนมานานนับปี ทำให้ไม่มีน้ำหนักมากเท่าการพูดขณะอยู่ในตำแหน่ง และมี ตำรวจผู้เฒ่า กลุ่มหนึ่งออกมาโต้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ โดยต้องการให้แสดงหลักฐานการเป็น แก๊งอาชญากรใหญ่ที่สุด ตามที่พูดไว้ให้ชัดเจน
แต่เป็นเรื่องที่ นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี จะมองข้ามไปไม่ได้ ต้องให้ความสนใจหาข้อมูลข้อเท็จจริงจาก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เพิ่มเติมและกำหนดมาตรการในการจัดการ แก๊งอาชญากรร้ายในเครื่องแบบตำรวจ ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
ไม่ใช่ปล่อยให้คำพูดของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หายไปกับสายลม หรือทำเป็นหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้อยู่เช่นทุกวันนี้!
ยิ่งกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ บอกว่า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบช. มี อดีต ผบ.ตร.คนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ได้ติดต่อมาบอกว่า อาชญากรคดีที่ตนกำลังสอบสวนอยู่เสนอเงินให้ 100 ล้านบาทเพื่อหยุดการสอบสวน ‘มึงกับกูแบ่งกันคนละครึ่ง 50 ล้าน’ แต่ได้ถูก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ปฏิเสธไป!
อดีต ผบ.ตร.ที่ก่ออาชญากรรมร้ายคนนี้เป็นใคร พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ย่อมระบุชื่อและตัวตนนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาได้อย่างแน่นอน
การกระทำเช่นนี้หากมีตำแหน่งเป็น ผบ.ตร.อยู่ ถือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐาน ‘เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในตำแหน่ง’ มีโทษสูงถึงประหารชีวิต!
แต่หากเกษียณแล้ว ก็เป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานยุติธรรมตามมาตรา 167 ฐาน ‘ให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินแก่พนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการหรือไม่กระทำการใดอันมิชอบด้วยหน้าที่’ มีโทษจำคุกถึงเจ็ดปี
ถ้านายอนุทินมีเจตนาจะสร้าง ‘หลักนิติรัฐ’ ให้เกิดภายในระยะเวลา 4 เดือนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ได้ตามที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้
ต้องรีบสั่งการไปยัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ให้บันทึกปากคำ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ในฐานะประจักษ์พยานผู้รู้เห็นการกระทำผิดของอาชญากรร้ายระดับ ผบ.ตร. นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
ถ้าปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่มีการสั่งการอะไร นายกรัฐมนตรีก็จะมีความผิดทางอาญาข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งจะถูกฝ่ายค้านหยิบยกนำไปเป็นประเด็นการอภิปรายในสภาอย่างแน่นอนอีกด้วย!.

ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 10 พ.ย. 2568
CR : ภาพปก เดลิมิเร่อร์

