แก้ ป.วิ อาญา ป้องกันการจับคนไป ขังล่วงหน้าก่อนศาลมีคำพิพากษา!
แก้ ป.วิ อาญา ป้องกันการจับคนไป ขังล่วงหน้าก่อนศาลมีคำพิพากษา!
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2568 สส.ทุกพรรคการเมืองจำนวน 60 คน นำโดย นายเกียรติคุณ ต้นยาง สส.พรรคประชาชน จังหวัดนนทบุรี ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาแก้ปัญหาการปล่อยตัวชั่วคราวใน กมธ.กฎหมายและการยุติธรรม
ได้ร่วมกันลงชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยการออกหมายจับของศาลและการคุมขังประชาชนผู้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร
ถือเป็นร่างกฎหมายที่มีความก้าวหน้า เป็นการ ยกระดับกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยครั้งใหญ่ ป้องกันมิให้ประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติถูกศาลออกหมายจับตามที่ตำรวจขอกันง่ายๆ เพื่อนำไปใช้ไล่จับไล่ตะครุบตัวกันตามถนนหนทางกันอย่างป่าเถื่อนวุ่นวาย ใส่กุญแจมือ คุมตัวไปขังและฝากขังต่อศาล
แม้กระทั่งทำคอนเทนต์เป็นการประชาสัมพันธ์ผลงานให้เป็นข่าวเด่นดัง ทั้งที่คดีส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้วิธีการจับเช่นนั้นแต่อย่างใด
เพราะเมื่อพนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกบุคคลผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีได้ ศาลจะออกหมายจับให้ตำรวจไปใช้ไล่จับ ทำให้เขาได้รับความอับอายเกิดความเสียหายกันเพื่ออะไร?
ซ้ำเมื่อไล่จับตามหมายแล้วก็ไม่ยอมให้ประกันตัวกันง่ายๆ นำไปฝากขังและค้านประกันตัวโดยอ้างมั่วๆ ว่า ‘น่าจะหลบหนี’ โดยมีเจตนาสร้างกระแสให้ผู้คนเข้าใจว่าเขากระทำผิด มิฉะนั้นศาลคงไม่ออกหมายจับให้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน
นอกจากนั้นยังเป็นการ ลดทอนความสามารถในการต่อสู้คดี โดยไม่มีข้อเท็จจริงเรื่องการหลบหนีตามที่ ป.วิ อาญา บัญญัติไว้ และศาลส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไต่สวนเพื่อให้ได้ความจริงเกิดความยุติธรรม
และที่สุดเลวร้ายเมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องหรือศาลพิพากษายกฟ้องคดี ก็ไม่มีใครไม่ว่าตำรวจอัยการ หรือศาลต้อง รับผิดชอบความเสียหาย ต่อสิทธิเสรีภาพและชื่อเสียงของผู้ถูกจับที่ย่อยยับไปอย่างไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนมาได้แม้แต่คนเดียว!
สาระสำคัญคือ ยกเลิกเหตุในการออกหมายจับตามมาตรา 66 เปลี่ยนจากคำว่า ‘มีพยานหลักฐานตามสมควร’ เป็น ‘มีพยานหลักฐานชัดเจนและน่าเชื่อถือ’ รวมทั้งผู้ต้องหาต้องมี ‘พฤติการณ์หลบหนี หรือทำให้พยานหลักฐานเสียหาย หรือก่ออันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน’ อย่างหนึ่งอย่างใดประกอบด้วยเท่านั้น
ไม่ใช้อัตราโทษสามปีขึ้นไปเป็นหลักโดยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้มีพฤติการณ์ คือข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าเขาหลบหนี เช่น ที่ตำรวจใช้อ้างต่อศาลกันมั่วๆ ตลอดมา
นอกจากนั้น ‘หัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี’ ก็มีหน้าที่ต้องรายงานผลการปฏิบัติในการสืบจับตามหมายให้ศาลและอัยการทราบทุกหนึ่งเดือน ป้องกันมิให้ตำรวจคนใด ‘หมกหมาย’ หรือ ‘ใช้หากิน’ เมื่อศาลออกให้ตามที่ขอแล้ว ก็ไม่ได้สืบจับตัวกันอย่างจริงจังจนกระทั่งหมดอายุความ
ตำรวจผู้รับผิดชอบการจับตามหมายไม่ว่าจะแต่งเครื่องแบบหรือไม่ มีหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวและหมายให้ผู้จะถูกจับตรวจสอบและถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้ได้
ไม่ใช่แค่การ ‘แกว่งบัตร’ หรือ ‘แกว่งหมาย’ ที่นิยมกระทำกันในปัจจุบัน!
รวมทั้งต้องไม่กระทำการใดๆ ที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าผู้ถูกจับเป็นผู้กระทำผิด เช่น จับไปด่าไป หรือแม้กระทั่งนั่งอบรมสั่งสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษซึ่งไม่ใช่หน้าที่
หลักเกณฑ์ใหม่นี้ เป็นการ สร้างหลักประกันต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน มิให้ถูกละเมิดได้โดยง่าย ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ‘ให้สันนิษฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน’ ไม่ถูกศาลออกหมายจับตามที่ตำรวจขอกันมั่วๆ โดยไม่จำเป็น
ซ้ำนำไปขังไว้ในเรือนจำระหว่างการสอบสวนหรือรอการพิจารณาของศาลซึ่งใช้เวลาสืบพยานนานหลายปีเป็นที่น่าเวทนา โดยที่ยังไม่รู้ว่าเขาได้กระทำความผิดจริงหรือไม่?.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 27 ต.ค. 2568

