ศาลจำคุก 3 ปี ‘เนตร’ สั่งคดี ‘บอส’ มิชอบ ‘ชัยณรงค์’ 2ปี ยกฟ้อง ‘สมยศ’ กับพวก 6 คน ไม่ได้กดดันเปลี่ยนเเปลงความเร็วรถ

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ย่านตลิ่งชัน ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบหมายเลขดำ อท 131/2567 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ,นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กับพวกรวม 8 คนเป็นจำเลย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 200, 83, 86 พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172,192
กรณีที่พวกจำเลยทั้งหมด ร่วมกันกระทำผิดเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานในคดี คำให้การพยาน ความเร็วรถยนต์ฯ เพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหา เพื่อให้พ้นผิด หรือรับโทษน้อยลง ที่นายวรยุทธขับรถสปอร์ตหรูปอร์เช่ เฉี่ยวชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิตขณะขี่รถจักรยานยนต์ เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555
จำเลยทั้ง8คนให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท ในวันนี้ได้เดินทางมาพร้อมทนายความ พล.ต.อ.สมยศ สวมชุดสูทสีน้ำเงินเดินทางมาศาลเวลาประมาณ 08.30 น. พร้อมทนายความ ตามมาด้วยนายเนตร ซึ่งไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนถ่ายภาพ
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 8 คน ประกอบด้วย
จำเลยที่ 1 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
จำเลยที่ 2 พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบก.กองพิสูจน์หลักฐาน
จำเลยที่ 3 พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวน (สบ 3) สน.ทองหล่อ
จำเลยที่ 4 นายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส
จำเลยที่ 5 นายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกฯอบจ.เชียงใหม่
จำเลยที่ 6 นายธนิต บัวเขียว ที่ 6
จำเลยที่ 7 รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม นักฟิสิกส์ อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ ม.เทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ
จำเลยที่ 8 นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด
ต่อมาศาลออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์ในประเด็นที่ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1,2,3,5-7 เป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าจากพยานหลักฐานบรรยากาศในห้องประชุมดังกล่าวเป็นแบบผ่อนคลายสบาย ทุกคนต่างเดินไปมามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการพูดคุย เป็นการถกเถียงทั่วไปเกี่ยวกับความเร็วลักษณะคุยปกติ พยานยืนยันว่าไม่มี ผู้ใดพูดจาโน้มน้าวบังคับขู่เข็ญให้คำนวณความเร็วให้ต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประกอบบริบทข้อความสนทนาของจำเลยที่ 1 มีลักษณะเป็นเชิงวิชาการทั่วไป มีการแลกเปลี่ยนความเห็นเสนอความเห็นที่แตกต่างเชิงโต้ตอบกันไปมาแม้จำเลยที่1 จะเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่1 ก็ไม่ได้มีอำนาจบังคับบัญชา ส่วนการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติมิได้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวพันใดใดกับการบังคับบัญชา การเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯเป็นแต่บุคคลสาระที่รู้จักในสังคมทั่วไป ส่วนที่มีพยานพูดว่า ”ทางพี่อ็อดเค้าอยากให้จบในชั้นอัยการเค้าจะได้จบเลยจะได้ไม่ต้องสืบ “เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำดังกล่าวเป็นคำกลางๆ หากไม่ตีความหมายไปทางอคติแต่ฝ่ายเดียว หรือตีความถึงการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ชอบธรรม การที่จะนำถ้อยคำในการสนทนามาพาดพิงในทางที่เป็นผลร้ายเพียงลอยๆมารับฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีพยานหลักฐานสำคัญอื่นเป็นหลักประกอบย่อมเป็นการไม่ชอบ ทางไต่สวนและทาง นำสืบของโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้สั่งการหรือสมคบคิด เมื่อหลักฐานทางไต่สวนและนำสืบไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่1 โน้มน้าวกดดันบังคับและใช้อิทธิพลให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่7 นำเสนออันเป็นความผิดแต่อย่างใด
ในส่วนจำเลยคนอื่นที่ศาลยกฟ้อง ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าการดำเนินการยื่นคำร้องขอเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการขอให้สอบสวนในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์หรือการคำนวณความเร็วด้วยวิธีอื่นนอกจากวิธีเดิมและการประชุมเพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็วสามารถกระทำได้โดยชอบ ดังนี้การที่จำเลยที่5 ที่6 ย่อมมีสิทธิ์ติดต่อเข้าพบ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือนั้นเพื่อขออนุญาตเข้าปรึกษาสอบถามความรู้จากจำเลยที่7และขอให้จำเลยที่7ไปช่วยอธิบายความเห็นตามจำเลยที่5 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิ์ที่จะเข้าประชุมหรือนัดหมายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในขอบเขตของตนเพื่อประชุมได้ การกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการสมรู้ร่วมคิดหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถยนต์
เมื่อพิเคราะห์ถ้อยคำสนทนาและบริบทของจำเลยที่5 พูดถ้อยคำทั่วไปไม่แสดงความเห็นใดเกี่ยวกับความเร็วไม่ปรากฏว่าได้โน้มน้าวกดดันและใช้อิทธิพลบังคับให้ยึดถือวิธีการคิดคำนวณตามที่จำเลยที่7 นำเสนอส่วนจำเลยที่6 ข้อเท็จจริงและพยานในการไต่สวนเป็นที่ยุติว่าจำเลยที่6 เป็นผู้ติดต่อประสานงานดังกล่าวข้างต้นไม่เคยเข้าร่วมหรืออยู่ร่วมการประชุมในการคำนวณความเร็วในวันที่เกิดเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนร่วมสั่งการหรือกระทำการใดๆที่เกี่ยวข้องอันเป็นความผิดและหลักฐานว่าการกระทำของจำเลยที่5-6เป็นความผิดตามฟ้อง
เมื่อพิเคราะห์พฤติการเเล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่1-3 จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดฯ ทั้งนี้เมื่อศาลฟังได้ว่าการกระทำของ1-3 ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายแล้ว การสนับสนุนการกระทำผิดจะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการ หากกรณีไม่มีตัวการกระทำผิดผู้ช่วยเหลือให้ความสะดวกในความผิดย่อมไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1,2,3,5-7 จึงไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดฐานสนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว
ในส่วนจำเลยที่ 4 ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 โดยสำนักงานดังกล่าวนี้ไม่ได้รับผิดชอบคดีที่เกิดพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 4 ไม่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นพนักงานอัยการผู้รับชอบสำนวนคดีนี้ และไม่ได้หน้าที่พิเศษตามที่ทางราชการมอบหมายในคดีนี้แต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 ไม่ได้เป็นตัวแทนโดยปริยาย ไม่ได้เป็นพยานหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าไปร่วมประชุมเพื่ออธิบายข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้แก่พนักงานสอบสวน พ.ต.อ.ธ หรือบุคคลอื่น แสดงถึงมูลเหตุจูงใจของจำเลยที่ 4 ที่จะเข้าไปกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด จำเลยที่ 4 ได้อ้างสถานะว่าตนเป็นอัยการ รู้จักกับบุคคลต่าง ๆ ทั้งฝ่ายตำรวจและพนักงานอัยการชั้นผู้ใหญ่ เพื่อให้ พ.ต.อ.ธ เกิดความน่าเชื่อถือ เพื่อโน้มน้าวให้ พ.ต.อ.ธ คล้อยตามความเห็นของตน แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจพิเศษที่ต้องการที่จะช่วยให้นายวรยุทธไม่ต้องรับโทษ
ยิ่งเมื่อพิเคราะห์ถึงถ้อยคำของจำเลยที่ 4 ที่ว่า “อยากให้ขอให้เป็น 79.22 ตามที่อาจารย์สายประสิทธิคำนวณ” “คือตามกฎหมายห้ามขับเกิน80 อยากจะขอความกรุณาให้มันอยู่ range ตรงนั้น”
“อันนี้ขอความกรุณาท่านผู้การ ทางอัยการเขาสั่งมาอย่างนี้ คือเขาก็มองว่าเขาจะช่วยนะ คือก็อยากให้เขาสบายใจนิดนึงใช่ไหมฮะ เวลาเขาจะสั่ง คือเขาสั่งมาเนี่ย เขาตั้งใจจะช่วยเต็มที่ แล้วก็อยากจะขอความกรุณานะฮะ เรียนตรง ๆ เลยฮะ” “ไม่เกิน 80 ” แม้ พ.ต.อ. ว ถามจำเลยที่4 ว่า “เอ้อ ท่านอัยการกองคดีอาญา6 ครับ ความเร็วมันกำหนดไว้เท่าไหร่ 80” และจำเลยที่ 4 ตอบว่า “ไม่เกิน 80″ จำเลยที่ 3 พูดว่า”ในกรุงเทพ ในเขตเทศบาล ไม่เกิน 80 นอกเขตเทศบาล ” เมื่อ พ.ต.อ.ว ทักท้วงว่า “ผมพยายามคิดตัวเลขในใจของผมได้ประมาณ 88 ผมยังไม่ได้คำนวณแต่ใช้ความทรงจำอย่างเดียว ผมได้ประมาณ 88” แต่จำเลยที่ พูดขอร้องโน้มน้าวแสดงความต้องการว่า “เรียนตรง ๆเลยครับ ขอความกรุณานะฮะ” ข้อความทั้งหมดดังกล่าวเป็นบ่งชี้ว่าจำเลยที่ ประสงค์จะให้ความเร็วกำหนดเฉพาะเจาะจงต้องไม่เกิน 80 กม./ชม. เท่านั้น เพื่อจะให้อยู่ในขอบของกฎหมายกำหนด การกระทำของจำเลยที่ 4 มีลักษณะการแทรกแซง โน้มน้าว กดดัน โดยใช้สถานะอิทธิพลของตนให้การคำนวณความเร็วของ พ.ต.อ.ธ ไม่เป็นอิสระ เพื่อให้ พ.ต.อ.ธ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีเจตนาเพื่อในชั้นต่อไปให้พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีที่จะมีความเห็นหรือสังคดีสำนวนของนายวรยุทธที่ตกเป็นผู้ต้องหา นำผลการคำนวณความเร็วไปใช้ประกอบดุลยพินิจในทางเฉพาะที่เป็นคุณแก่นายวรยุทธเท่านั้น เพื่อประสงค์ต่อผลจะช่วยนายวรยุทธ ผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษ น้อยลง การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง เมื่อจำเลยที่4 กระทำผิดส่วนตัว ไม่ได้กระทำในอำนาจและหน้าที่ จึงเป็นเพียงฐานผู้สนับสนุนการกระทำผิด แม้การกระทำของจำเลยที่ 4 อันเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด และผู้ที่กระทำผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือไม่นั้นก็ตาม
และปัญหาสุดท้ายว่า การที่จำเลยที่ 8 ใช้อำนาจวินิจฉัยสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธเป็นไปโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า คำสั่งไม่ฟ้อง ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมุ่งเน้นประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์ และใช้ดุลพินิจรับฟัง ข้อเท็จจริงความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับขี่ที่ยึดความเร็วตาม พยานสองปากที่เพิ่งปรากฏในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่แปดและครั้งที่เก้าเมื่อวันที่ 7 ต.ค.62 หลังเกิดเหตุเหตุการณ์กว่า 7 ปี พยานสองปากกับระบุความเร็วของรถยนต์ที่พยานทั้งสองขับและความเร็วของรถยนต์ที่นายวรยุทธขับได้อย่างชัดเจนว่าขับมาด้วยความเร็วประมาณ 50 -60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผิดวิสัยของบุคคลในเรื่องความทรงจำตามธรรมชาติ มีลักษณะที่จะช่วยเหลือหรือให้การเป็นประโยชน์กับผู้ต้องหาพยานทั้งสองปากไม่น่าเชื่อถือและมีคุณค่าแก่การรับฟังในประเด็นนี้จำเลยที่8 ควรชั่งน้ำหนักพยานเช่นพนักงานอัยการทั่วไป การที่จำเลยที่ 8 ให้เหตุผลว่าไม่มีข้อพิรุธสงสัยใดๆแม้พยานทั้งสองเคยถูกสอบสวนไปแล้ว โดยอ้างว่าเป็นประเด็นสำคัญแก่คดีและมีน้ำหนักมากให้เป็นข้อสนับสนุนการหยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างประกอบการพิจารณาทั้งที่จำเลยที่8 เป็นพนักงานอัยการระดับสูงขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุดอาวุโสระดับที่1 ยังต้องมีประสบการณ์สั่งสมในการพิจารณาสั่งสำนวนคดีอาญาที่มีฐานความผิดและพฤติกรรมแห่งคดี ยุ่งยากสลับซับซ้อนไปจำนวนมากย่อมจะต้องมีมาตรฐานในการปฏิบัติงานที่สูงมากกว่าพนักงานอัยการทั่วไปและต้องใช้ความระมัดระวังรอบคอบในการพิจารณาสั่งสำนวนซึ่งปรากฏแพร่หลายในสื่อสาธารณะชนทั่วประเทศและนอกประเทศ
ทั้งจำเลยที่8 ย่อมทราบอยู่แล้วว่าองค์ประกอบความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายความเร็วของรถยนต์ขณะที่การเกิดการชนนั้นแม้อัตราจะต่ำมากกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหากผู้ขับขี่กระทำไม่ได้ใช้ความระมัดระวังทั้งทั้งที่นายวรยุทธสามารถใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่ไม่ได้ใช้ บุคคลนั้นก็มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทได้ แต่จำเลยที่8 เลือกหยิบยกพยานหลักฐานเฉพาะเพื่อสนับสนุนการสั่งคดีโดยมุ่งเน้นความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธเป็นหลักให้ความสำคัญส่วนนี้เพื่อให้เจือสมว่าความประมาทเกิดขึ้นจากผู้ตายแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อสนับสนุนความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาและความเชื่อว่านายวรยุทธไม่ได้กระทำโดยประมาทเป็นการใช้ดุลยพินิจช่างน้ำหนักพยานหลักฐานอยู่บนรากฐานความสมเหตุและผล การที่จำเลยที่8 อ้างว่าการร้องขอความเป็นธรรมก็ต้องพิจารณาใหม่เป็นครั้งๆเพื่อให้ความเป็นธรรมไม่มีผลผูกพันให้จำเลยที่8 จำต้องถือและปฏิบัติความเห็นและโดยเฉพาะดังกล่าวเพราะไม่มีกฎหมายระเบียบกำหนดให้ต้องสืบและปฏิบัติตาม เพื่อให้มีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมใหม่หลายครั้งหลายประเด็นโดยไม่จำเป็น จนหาข้อยุติไม่ได้ ส่งเสริมให้สอบปากคำพยานคนเดินซ้ำแล้วให้การกลับหรือเปลี่ยนแปลงคำให้การใหม่โดยการอ้างข้อมูลใหม่หรือพยานหลักฐานใหม่หรือความทรงจำใหม่ของพยานโดยพนักงานอัยการก็จะอ้างเหตุผลดังกล่าวนำมาประกอบดุลพินิจเพื่อมีคำสั่งอย่างใดๆก็ตามที่อยากให้เป็นในลักษณะสมคบคิดกันเป็นขั้นตอนกับผู้ที่ไม่สุจริต เพื่อให้เอื้อสมประโยชน์ในทิศทางที่จะสั่งคดีทางใดได้โดยง่าย ส่งผลกระทบกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมโดยรวม การสั่งคดีของจำเลยที่8 เป็นข้อบ่งชี้ว่าไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักฐานที่มีเหตุผลอันสมควรมิได้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยมูลความผิดอย่างที่พนักงานอัยการพึงใช้เป็นการวินิจฉัยมูลความผิดโดยใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจและด่วนวินิจฉัยคดีเสียเอง
การกระทำของจำเลยที่ 8 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีพนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญากระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดๆ ในตำแหน่งอันเป็นการไม่ชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งคนใดมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวด้วย
พิพากษาว่า จำเลยที่4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และ มาตรา200 วรรคหนึ่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 จำเลยที่ 8มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 และมาตรา200 วรรคหนึ่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 การกระทำของจำเลยที่4, 8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 ซึ่งเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยที่ 8 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำคุกจำเลยที่ 4 กำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 8 กำหนด 3 ปี
ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1-3,5-7 แต่ให้หมายขังจำเลยที่1-3,5-7 ไว้ระหว่างอุทธรณ์ เว้นแต่จะมีประกัน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ขณะที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้ทำความเห็นเเย้งไว้ 14 หน้า โดยเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งแปดมีเจตนาช่วยเหลือนายวรยุทธ เพื่อไม่ให้ต้องรับโทษในความผิดในข้อหาดังกล่าว จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่ในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ส่วนจำเลยที่ 8 เป็น พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยสั่งคดี จำเลยที่ 3และที่ 8ปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายเพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธไม่ให้ต้องได้รับโทษ การกระทำของจำเลยที่ 3 เเละ 8 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้องโจทก์ จำเลยที่5-6 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจำเลยที่ 1,2 เเละที่ 7 ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนและในการวินิจฉัยสั่งคดี ความผิดต่อตำแหน่ง หน้าที่ราชการและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของเจ้าพนักงาน แม้ จำเลยที่ 1,2,4-7 จะร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3 และที่ 8 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดในฐานะตัวการ เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำ ความผิดของจำเลยที่ 3เเละ8 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
ต่อมาจำเลยทั้งหมดได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมยื่นหลักทรัพย์ 200,000 บาท และศาลได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมดโดยจำเลยใช้หลักประกันและสัญญาประกันเดิม