‘คดีแตงโม’ประชาชนไม่เชื่อถือแม้แต่ ‘งานพิสูจน์หลักฐาน’และ’นิติเวช’ตร.      

                             ‘คดีแตงโม’ประชาชนไม่เชื่อถือแม้แต่ ‘งานพิสูจน์หลักฐาน’และ’นิติเวช’ตร.        

                                              พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

คดีน้องแตงโมดาราสาว พลัดตกเรือ จมน้ำตาย กำลังเกิดความวุ่นวาย ทางสังคม แม้กระทั่งความสับสนทางกฎหมาย

เพราะมีคนมากมายไม่เชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตาม การสอบสวนของตำรวจและคำฟ้องของอัยการ เช่นนั้น!

พวกที่ไม่เชื่อก็แสดงเหตุผลและ ข้อสันนิษฐาน ต่างๆ นานาสารพัดว่า น่าจะเกิดจากการฆาตกรรม!

คือถูกทำร้ายหรือถูกฆ่าตายในจุดอื่นแม้กระทั่ง สถานที่ลึกลับบนบก แล้วมีการนำศพใส่เรือมาทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้ระยะแรกผู้คนพยายามช่วยกันงมหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ!

ผลการสอบสวนและการตรวจพิสูจน์หลักฐาน แม้กระทั่งรายงานการตรวจชันสูตรศพ โดยสถาบันนิติเวชตำรวจ

แทบไม่มีความหมายอะไรที่จะทำให้ผู้คนเชื่อถือและกลบเสียงเล่าลือของผู้คนทั้งประเทศเช่นนั้นได้!

สะท้อนว่า “กระบวนการยุติธรรมอาญาไทย” ทั้งในชั้นสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและการฟ้องคดีของอัยการ

อยู่ในขั้นวิบัติ!

ประชาชนขาดความเชื่อถืออย่างร้ายแรง ทั้งระบบและตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นใครระดับใด

ผู้คนส่วนใหญ่พากันให้ความสนใจกับ ข้อสันนิษฐานของสารพัดผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการซึ่งไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการค้นหาความจริงทางคดีตามกฎหมายแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ คดีก็ได้ดำเนินไปถึงขั้นใกล้จะมีคำพิพากษา ว่า แซน กับ กระติก ร่วมกันกระทำประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามที่ถูกตำรวจแจ้งข้อหาและคำฟ้องของอัยการ จริงหรือไม่?

แต่ฝ่ายกลุ่มคนผู้ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำประมาท น่าจะเป็น ฆาตกรรม หรือ ทำร้าย จนเป็นเหตุทำให้แตงโมถึงแก่ความตาย

ก็ได้พยายามเรียกร้องต่อรัฐ ขอให้มีการสอบสวนคดีใหม่!

ทำให้สื่อและประชาชนเกิดความสับสนว่าสามารถทำได้ตามกฎหมายจริงหรือ?

ขอเรียนว่า กรณีนี้ไม่ใช่การขอรื้อฟื้นคดีใหม่ ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 แต่อย่างใด

เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ เฉพาะบุคคลผู้ตกเป็นจำเลยที่ถูกศาลพิพากษาว่ากระทำผิด แต่ได้มีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในการพิจารณามาก่อน แสดงให้เห็นว่าไม่ได้กระทำตามคำพิพากษา

ซึ่งหากได้มีการพิจารณาคดีใหม่ จะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ได้ทำผิดหรือลงโทษน้อยลงได้

ศาลจึงจะอนุญาตให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามหลักการและกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อ ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถกระทำได้ง่ายๆ เนื่องจากในข้อเท็จจริงมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย

ส่วนกรณีที่มีกลุ่มบุคคลไปยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สอบสวนคดีใหม่ และได้มีการสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ

ขณะนี้ก็ได้มีการตั้งคณะทำงานชุดหนึ่งขึ้น สืบสวนหาข้อเท็จจริงตามข้อสันนิษฐาน แม้กระทั่ง เอกสารและภาพถ่ายต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นหลักฐาน แสดงให้เห็นถึงการฆาตกรรมหรือถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย

แต่ จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดำเนินคดีที่ศาลกำลังพิจารณาและใกล้จะมีคำพิพากษาเร็วๆ นี้ได้แต่อย่างใด!

แม้กระทั่งหากอัยการได้สดับตรับฟังหรือเห็นพยานหลักฐานที่ เป็นคนละเรื่องกับคำฟ้อง อะไรแล้ว ต้องการแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ อาญา มาตรา 163 ก็ไม่สามารถทำได้

เพราะเป็นข้อห้ามตามมาตรา 164 ที่บัญญัติว่า ถ้าคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้องนั้น จะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือหลงข้อต่อสู้ ห้ามมิให้ศาลอนุญาต…

การแก้ไขคำฟ้องจากข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าประมาท เป็นฆาตกรรมหรือทำร้าย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันจึงทำไม่ได้

ขณะนี้มีแต่ว่า ถ้าฝ่ายกลุ่มบุคคลผู้ต้องการค้นหาความจริงเรื่องการถูกฆาตกรรมหรือทำร้ายตามข้อสันนิษฐาน หรือแม้แต่ตามความคิดความเชื่อว่าเป็น “หลักฐาน” ที่สามารถพิสูจน์การกระทำผิดได้

แต่หัวหน้าและ “คณะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ” และ “พนักงานสอบสวนผู้ไม่รับผิดชอบ” ไม่ได้เก็บรวมไว้ในสำนวนทั้งที่ทราบดีว่ามีอยู่ และไม่ได้ส่งให้อัยการพิจารณา

ทุกคนต้องถูกดำเนินคดีอาญาฐาน “เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการหน้าที่โดยมิชอบ” ตามมาตรา 157 และ “ช่วยเหลือผู้กระทำผิดให้ได้รับโทษน้อยลง” ตามมาตรา 200

รวมทั้งอดีต ผบ.ตร.คนหนึ่ง!

ซึ่งนายอัจฉริยะพูดออกสื่อหลายครั้งว่า “ได้พยายามพูดจา ขอให้ตนเลิกสนใจการดำเนินคดีน้องแตงโม เพราะไหนๆ ก็ได้ตายไปแล้ว”

ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีด้วยเช่นกัน!.

   ที่มา :  นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 27 ม.ค. 2568

About The Author