‘ขาวสามด้าน’ แต่ตั้งด่านรีดไถ เก็บส่วย นายพลตำรวจ ‘นั่งรับส่วย’ ไม่ช่วยสร้างศรัทธา
‘ขาวสามด้าน’ แต่ตั้งด่านรีดไถ เก็บส่วย นายพลตำรวจ ‘นั่งรับส่วย’ ไม่ช่วยสร้างศรัทธา
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
การเข้ารับตำแหน่ง ผบ.ตร.เต็มตัวของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และเมื่อมีการประชุม 2-3 วันที่ผ่านมา ได้เรียก เสียงฮือฮาแบบเครียดๆ จากตำรวจทุกระดับในเรื่อง การตัดผม
สั่งให้ใช้ทรง ขาวสามด้าน ข้างบนไว้ได้ไม่เกิน 4 เซ็น!
เป็นการเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่รูปแบบเดิมตามที่ ผบ.ตร.คนหนึ่งเคยออกคำสั่งไว้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
แต่ว่าได้ถูกยกเลิกไปโดยคำสั่งของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 1 ปี
ทำให้ตำรวจดีใจกันใหญ่
จะได้สบายหัวสบายใจ ไม่ต้องระแรงระวังว่าผู้บังคับบัญชาและ จเรตำรวจ จะคอยจับผิดเรื่องการตัดผมไว้ยาวเกินหรือไม่ ถึงขนาด ใช้ไม้บรรทัดเดินวัดกันแทบทุกวัน!
ตำรวจบางนายถึงขั้น เสียอนาคต เพราะเผลอปล่อยให้ผมยาวเกินกำหนดไปเลยก็มี!
คำสั่งที่ถูกนำกลับมาคงมีนัยว่า เพื่อให้ตำรวจไทยดูเป็นคนมี วินัย
ส่วนหัวเกรียนแล้ว จะทุจริต ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ตั้งด่านรีดไถ รีดส่วย หรือ
“นั่งรับส่วย” อะไรกันเหมือนเดิมหรือไม่
ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ ผบ.ตร.ทุกยุคทุกสมัยเคยให้ความสนใจ!
การสั่งตัดผมเกรียน ส่งผลทำให้ตำรวจเกิดความเครียดอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มพนักงานสอบสวน ที่ไม่มีเวลาคอยสนใจในเรื่องการแต่งเครื่องแบบติดเครื่องหมาย และทรงผมกันเช่นตำรวจสายงานป้องกันอาชญากรรม
ทำให้มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย
ต่างสงสัยกันว่า สิทธิเสรีภาพในร่างกายของพวกเขายังมีอยู่เช่นคนทั่วไปหรือไม่?
ประเด็นความเหมาะสมตามระเบียบแบบแผนราชการเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจ และส่วนใหญ่ไม่ได้คิดฝ่าฝืนไว้ผมยาวจนดูน่าเกลียดอะไร
การสั่งให้ตำรวจ ตัดผมกันจนหัวเกรียนตลอดเวลาที่รับราชการอยู่จนเกษียณ เลียนแบบทหาร
ขัดต่อธรรมชาติของการทำงานในฐานะที่เป็น “เจ้าพนักงานยุติธรรม”
งานตำรวจต้องคลุกคลีอยู่กับประชาชน ไม่ทำให้รู้สึกแปลกแยกแตกต่าง
แต่ไหนแต่ไรตำรวจไทยไม่เคยถูกบังคับให้ตัดผมสั้นถึงขนาด “หัวเกรียน”
เว้นแต่เข้าฝึกในโรงเรียนที่ต้องอยู่รวมกัน มีความจำเป็นเพื่อการรักษาสุขภาพอนามัย ก็ไม่ว่ากัน
แต่เมื่อได้สำเร็จการศึกษาออกมาแล้ว ทุกคนควรมีสิทธิเลือกไว้ผมทรงใดก็ได้ ตราบใดที่ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมและระเบียบแบบแผนราชการเช่นข้าราชการพลเรือนทั่วไป
“ตำรวจ” แตกต่างจาก “ทหาร” ที่จำเป็นต้องมีชีวิตรวมหมู่อยู่กันเป็นกองร้อย กองพัน เพื่อพร้อมรับคำสั่งให้เข้าทำการต่อสู้รบกับข้าศึกศัตรูจากนอกประเทศเป็นหลัก
แต่ ตำรวจเป็นผู้รักษากฎหมาย
ทุกคนต้องสามารถทำหน้าที่ได้คล้ายภูมิคุ้มกันร่างกายคือ “เม็ดโลหิตขาว” โดยไม่รอฟังคำสั่งหรือนโยบายจากผู้บังคับบัญชาไม่ว่าระดับใด ว่า
“จะให้รักษากฎหมายในเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดจริงจังหรือไม่อย่างไร?”
เมื่อสิทธิและเสรีภาพในร่างกายของตนเองยังมีเช่นคนปกติไม่ได้
ฉะนั้น การที่จะให้ตำรวจไทยตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จึงเป็นไปได้ยาก
“หัวขาวสามด้าน” แต่เต็มไปด้วยการทุจริต ตั้งด่านผิดกฎหมาย รีดไถเงินจากประชาชนไปให้พวก “นายพลตำรวจ” นั่งรับส่วยกันจนร่ำรวย
ไม่ได้ช่วยให้ประชาชน “ยอมรับนับถือ” หรือเกิด “ศรัทธา” ขึ้นได้แต่อย่างใด.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : +ฉบับวันที่ 18 พ.ย. 2567