‘กัญชา’ กลับเป็น ‘ยาเสพติด’ ใครต้องรับผิดชอบความเสียหายในการเสพและค้าเสรี

ยุติธรรมวิวัฒน์

กัญชา’ กลับเป็น ‘ยาเสพติด’ ใครต้องรับผิดชอบความเสียหายในการเสพและค้าเสรี

                                                                                            พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ปัญหาเรื่อง “พืชกัญชา” ยาเสพติดประเภท 5 ที่รัฐไทยบัญญัติกฎหมายห้ามการปลูก เสพ และการค้ามาช้านานแต่โบราณ

แต่ได้ถูกรัฐบาลยุคที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ถอดออกจากบัญชียาเสพติดตามการประกาศของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในยุคนั้น

เพื่อให้เป็นไปตาม นโยบายของพรรคภูมิใจไทย ที่หาเสียงต่อประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้งว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะมีการอนุญาตให้ประชาชนปลูกได้ บ้านละ 6 ต้น!

ทำให้ถูก ประชาชนสายกัญชาทวงถามอยู่ทุกวันเมื่อได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลว่า จะสามารถปลูกกันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แอบ “จ่ายส่วย” ให้ตำรวจอีกต่อไปเมื่อใด?

หลังการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดให้โทษไม่ว่าประเภทใด!

คนไทยและชาวต่างชาติบางกลุ่มสุดแสนดีใจ จะได้ปลูก ค้า และเสพกัญชาให้หนำใจอย่างเสรีเสียที

ส่งผลทำให้มีร้านจำหน่ายและให้บริการเสพกัญชา รวมทั้งกิจกรรมการปลูกและการค้าเกิดขึ้นทั่วไทยมากมาย

นับว่าหลายพันหรือ อาจนับหมื่น ร้าน จนมิอาจประมาณปริมาณการสูบเสพและผลิตที่แท้จริงได้!

ชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ฝรั่งขี้ยาทั้งหญิงชายทั่วโลก ก็ดีใจ แห่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยกันใหญ่

เพื่อการเสพและใช้กัญชาอย่างเสรีตามกฎหมาย ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกอนุญาตให้ทำได้!

ส่วนผลเสียหายจากสูบเสพกัญชา ซึ่ง ข้อเท็จจริงเป็นยาเสพติดประเภทหนึ่ง

คือเสพแล้วต้องการเสพอีก และเกิดอาการที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอนนั้น

ไม่มีใครประเมินผลชี้ชัดออกมาให้ประชาชนทราบกันแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงน่าจะมีแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่รักชาติและประชาชนแอบรายงานปัญหาให้นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรีทราบว่า

การถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมมากมาย

ปัจจุบันคนไม่สูบกัญชาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก็สามารถเสพได้

เพราะเมื่อเดินเข้าไปในร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆ แทบทุกคนจะได้กลิ่นกัญชาอันหอมหวนชวนดมลอยออกมาเตะจมูกเป็นประจำ!

ทำให้ในที่สุด นายเศรษฐาจึงตัดสินใจพูดผ่านสื่อว่า กัญชาจะต้องกลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิม!

ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและตกใจในหมู่พ่อค้ากัญชาไม่ว่าจะเป็นคนปลูก หรือคนค้าและร้านค้า ทั้งรายย่อยที่ตั้งอยู่ตามถนนหนทางต่างๆ ในแหล่งท่องเที่ยวมากมาย

ส่วน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์สรุปความได้ว่า

          เรื่องกัญชาถือว่าพรรคภูมิใจไทยได้ทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้แล้ว คือทำให้ไม่เป็นยาเสพติดอีกต่อไป และยังยืนยันให้ใช้เพื่อการแพทย์

หมายความว่า ในความเป็นจริงใครนำช่อดอกกัญชาไปใช้เพื่อสันทนาการ ถือว่าเป็นงานและหน้าที่ของตำรวจจะต้องตรวจสอบจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย!

ปัญหาก็คือว่า ถ้ารัฐบาลนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี กลับลำทำให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายไม่ว่าประเภทใด

ความเดือดร้อนเสียหายของกลุ่มประชาชนผู้ลงทุนไปในการปลูกและค้ากัญชา ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อยที่เปิดร้านให้บริการอยู่ตามถนนหนทางสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย

มีป้าย รูปใบไม้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งคนไทยเข้าไปใช้บริการ เพื่อการรักษาโรคซึมเศร้า

เพราะมึนเมากัญชาแล้วจะไม่มีความสามารถในการรับรู้ความทุกข์อะไรของใครทั้งสิ้น

สูบเข้าไปแล้วกลายเป็นคนอารมณ์ดี นั่งยิ้มคนเดียวทั้งวัน!

ในวันที่รัฐบาลออกประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติดเช่นเดิม ไม่ว่าประเภทใด การปลูกกัญชาตามบ้านหรือเรือกสวนไร่นา รวมทั้งการค้าและเสพเช่นเดิม จะยังสามารถทำได้อยู่เช่นเดิมหรือไม่?

ถ้าทำไม่ได้และต้องยุติการปลูก การค้าไป รัฐจะรับผิดชอบต่อความเสียหายจากการลงทุนไปมากมายในการประกอบธุรกิจที่สุจริตและชอบตามกฎหมายของพวกเขาอย่างไร?

ส่วนคนไทยจำนวนมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ติดกัญชากันไป เพราะคิดว่าสามารถรักษาโรคสารพัดได้

สูบเข้าไปแล้ว นั่งยิ้มคนเดียว

 รัฐบาลจะหาทางแก้ปัญหา โดยนำกัญชาจากไหนและมีวิธีบริหารจัดการอย่างไรในการให้คนพวกนี้ได้สูบเสพ เพื่อการรักษาโรคซึมเศร้าตามกฎหมายได้เช่นเดิมต่อไป?.

ที่มา :  นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ :  ฉบับวันที่ 13 พ.ค. 2567

About The Author