‘ตำรวจไทย’ ทำผิดอาญาร้ายแรง ยังแต่งเครื่องแบบ พกปืน ตรวจค้น จับประชาชนได้!

ยุติธรรมวิวัฒน์

“ตำรวจไทย” ทำผิดอาญาร้ายแรง ยังแต่งเครื่องแบบ พกปืน ตรวจค้น จับประชาชนได้!                                                                                             

                                                                                               พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ปัจจุบันความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” ไม่ว่าชั้นใด ไม่น่าจะมีอะไรให้ผู้คนสงสัยว่ายังมีเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด!

เมื่อ กรมราชทัณฑ์ หน่วยงานรับผิดชอบเรือนจำ มีหน้าที่คุมขังนักโทษไว้ตามระยะเวลาตามคำพิพากษาของศาล

ยังไม่อาจต้านความต้องการของ นักโทษชายทักษิณ ชิณวัตร ที่ถูกศาลพิพากษา จำคุก 8 ปี

แต่ในที่สุด เขาไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเช่นนักโทษคนอื่นแม้แต่วันเดียว!

มันเป็นไปได้อย่างไร?

“เรือนจำ” ปราการด่านสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมไทย จึงพังทลาย ทำลายความเชื่อถือของประชาชนลงอย่างไม่มีชิ้นดี

ผู้คนไม่มีความเชื่อมั่นต่องานราชทัณฑ์ของชาติว่าจะบังคับโทษตามคำพิพากษากับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอีกต่อไป และ ยากที่จะฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้ง่ายๆ

ในระยะนี้มีประเด็นเรื่องการดำเนินคดีอาญากับตำรวจผู้ใหญ่หลายระดับจำนวนมาก

ตั้งแต่กรณีผู้บังคับการตำรวจจังหวัดชลบุรี “เป้รักผู้การเท่าไหร่ ก็ให้เขียนมา”

มี ตำรวจหลายสิบคน ถูกกล่าวหาดำเนินคดีทั้งการปฏิบัติหน้าที่มิชอบและเรียกรับประโยชน์                     มีโทษสูงถึงประหารชีวิต!

ตามด้วย ความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในกรณีที่จับผู้ต้องหาแล้วไม่ส่งตัวให้พนักงานสอบสวน และไม่แจ้งให้นายอำเภอและอัยการจังหวัดทราบทันที

มีความผิดฐาน ปกปิดชะตากรรม ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 7

มีโทษจำคุกสูงถึงสิบห้าปี

ผู้บังคับบัญชาที่ทราบการกระทำ แต่ไม่ดำเนินการตามกฎหมายตามหน้าที่ มีความผิดต้องรับโทษด้วยกึ่งหนึ่ง

การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ ไม่ว่าตำรวจหรือนายอำเภอพื้นที่จะมีอำนาจ เริ่มคดี เองได้

แต่ทุกหน่วย ต้องแจ้งให้อัยการทราบทันทีเพื่อเข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ใน มาตรา 31 วรรคสาม

ประชาชนก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า คดีนี้ ในที่สุดจะมีนายพลตำรวจและผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดติดคุกด้วยความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ บ้างหรือไม่?

 แต่ละคนจะโดนศาลพิพากษาจำคุกกันกี่ปี?

นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีที่ตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ ภายใต้การบังคับบัญชาควบคุมของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มีทั้งยศ พลตำรวจตรี พันตำรวจเอก ไปจนถึงจ่าดาบนับสิบนาย ถูกกล่าวหาว่าร่วมกับประชาชนคนร้าย เป็นเจ้ามือเว็บพนันรายใหญ่!

ส่งผลทำให้ถูกแจ้งข้อหาความผิดมาตรา 157 มาตรา 149 รวมไปถึงฟอกเงิน

คดีนี้ผู้รับผิดชอบการสอบสวนบอกว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน นำไปสู่การเสนอ ศาลออกหมายจับ และอยู่ระหว่างดำเนินคดี ส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาว่าจะส่งกลับมาให้ตำรวจสอบสวนต่อ

หรือ ป.ป.ช.จะดำเนินการเอง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานนับปี

ระหว่างนี้ก็ได้มีวิวาทะระหว่างตำรวจผู้รับผิดชอบการสอบสวนกับตำรวจผู้ต้องหา ให้ประชาชนรู้สึกตื่นตาตื่นใจในคำพูดของแต่ละฝ่าย ชนิดที่หารับฟังรับชมได้ยาก!    

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคือ งานรักษากฎหมายต้องไม่คำนึงถึงว่าใครใหญ่กว่าใคร หรือใครไม่ชอบใคร ต้องการสกัดไม่ให้ได้ตำแหน่งอะไรแต่อย่างใด

หัวใจอยู่ที่ว่า การกล่าวหามีพยานหลักฐานยืนยันการกระทำผิดชัดเจนเพียงใด

ในกรณีประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา ถ้าตำรวจเสนอศาลออกหมายจับได้

ส่วนใหญ่ก็จะยืดอกพูดอย่างภูมิใจว่า ถ้าไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ศาลจะออกหมายจับให้ได้อย่างไร?

ประชาชนบางคนถูกจับตัวคุมขัง นำไปฝากขังต่อศาล ถูกคัดค้านการประกันตัว ทั้งเจ้าตัวและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส

แต่ในกรณีที่ศาลออกหมายจับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาร้ายแรงตามมาตรา 157 และ มาตรา 149 มีโทษสูงถึงประหารชีวิต

นอกจากพวกเขาส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเป็นปกติต่างจากประชาชนทั่วไป

ทุกคนยังสามารถรับราชการตำรวจ ได้เงินเดือน ทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมายในตำแหน่งต่างๆ แต่งเครื่องแบบ พกอาวุธปืน ขอตรวจค้นและจับกุมประชาชนได้

การพิจารณาของ ป.ป.ช.ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใด?

การ สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แทบไม่ได้ถูกตำรวจแห่งชาตินำมาใช้ ในกรณีตำรวจผู้ใหญ่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญากันเลย

พวกนายพลตำรวจประเทศไทยจึงไม่เคยกลัวโทษอาญา

เพราะว่าการสอบสวนที่ถูกดึงเวลา ทำให้ มีวิธีการมากมายในการใช้อำนาจและอิทธิพลทั้งบนดินและใต้ดิน ทำให้พยานหลักฐานในชั้นสอบสวนเปลี่ยนแปลงไป

ไม่ว่าจะเป็น “การสอบสวนทำลายพยานหลักฐาน”

หรือแม้แต่ การไต่สวนตามขั้นตอนต่างๆ ของ ป.ป.ช. ซึ่งจะต้องใช้เวลากันนานสองถึงสามปี!.

   ที่มา :  นสพ.ไทยโพสต์  เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ : ฉบับวันที่ 26 ก.พ. 2567                                              

About The Author