‘กัญชามายา’ประชาชนไม่ได้หวังสูบเสพเพื่อรักษาโรค
“กัญชามายา”ประชาชนไม่ได้หวังสูบเสพเพื่อรักษาโรค
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
การเข้าคุมอำนาจบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหารโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าและ นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 เป็นต้นมา
ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมารวม 8 ปี แล้วหรือไม่ ด้วยเหตุผลที่น่าฟังหรือ น่าเวียนหัว อย่างไร!
ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจหรือเชื่อถืออะไร!
ตัวบทกฎหมายหรือการตีความในเรื่องใดที่ ขัดต่อสามัญสำนึกและความรู้สึกของวิญญูชน ทั่วไป ย่อมไม่ก่อให้เกิดการยอมรับและทำให้สังคมเกิดความสงบสุขได้
เวลานี้มีแต่การ ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยตัวแทนปวงชนทุกจังหวัดที่จัดตั้งในรูปของ สภาร่างรัฐธรรมนูญ เท่านั้น
จึงจะทำให้สังคมไทยก้าวพ้นจาก กับดักรัฐธรรมนูญ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ในสังคมอย่างไม่รู้จบสิ้นนี้ไปได้
ในระหว่างนี้นายกรัฐมนตรีมีเวลาเหลือในตำแหน่งอีกไม่มากเพื่อแก้ไขปัญหาหลายเรื่องที่ถูกผูกไว้ และสร้างความเสียหายต่อประชาชนและสังคมมากมาย
ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ ผลีผลามตาม “พลตำรวจเอกคนหนึ่ง” ซึ่งถือมาแบบ “ลักไก่” เสนอให้ลงนามหลังยึดอำนาจใหม่ๆ
“หลอก” ให้ออก คำสั่ง คสช.ที่ 115/57 แก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145 ซึ่งประเทศไทยใช้เป็นหลักกันมากว่า 80 ปี
“ฉวย” อำนาจทำความเห็นแย้งของผู้ว่าฯ ในคดีอัยการจังหวัดสั่งไม่ฟ้องให้ไปเป็นของ ผู้บัญชาการตำรวจภาคที่ปัจจุบันไม่มีงานทำกันเป็นชิ้นเป็นอันแทน
ก่อให้เกิดปัญหาต่อประชาชนและส่งผลเสียหายต่อระบบความยุติธรรมของไทยอย่างร้ายแรง ในปัจจุบัน
พยายามสร้างผลงาน โชว์แย้ง คำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่อุทธรณ์ของอัยการทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้และความเข้าใจทางกฎหมายอะไร แม้กระทั่งเสนอให้ อสส.สั่งสอบสวนเพิ่มเติมจนมั่วไปหมด!
ซึ่ง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้เห็นและตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นมานานหลายปี
จึงได้มีหนังสือที่ มท.0307.1/6314 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2565 ถึง “เลขาธิการคณะรัฐมนตรี” เพื่อให้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีตามร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ อาญามาตรา 145/1 ให้อำนาจทำความเห็นแย้งอัยการกลับมาเป็นของผู้ว่าราชการจังหวัดเช่นเดิม
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบลงชื่อรับไปในวันที่ 27 เม.ย. 2565
เวลาได้ ผ่านมากว่าห้าเดือน แต่ หนังสือราชการสำคัญฉบับนี้ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงมือนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด!
เนื่องจากได้ถูก นายพลตำรวจมือไม่ดี มาฉวยกลับไป โดย ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน?
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องไป ก่อนวัยอันควร ก็คือ ปัญหานโยบายกัญชาที่ร่างกฎหมายได้ถูกมติจาก ส.ส.ส่วนใหญ่ให้ถอนออกจากสภา
ก่อให้เกิดปัญหาและ วิวาทะ ระหว่างหัวหน้าพรรคที่เสนอกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ส่งเสียงคัดค้านเนื่องจากไม่ต้องการให้ประชาชนและลูกหลานไทยต้องกลายเป็น คนขี้ยา ของโลกไป
ช่วงเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย ได้ขึ้นป้ายหาเสียงไปทั่วเมืองประกาศนโยบาย กัญชาเสรี ประชาชนมีสิทธิปลูกได้บ้านละ 6 ต้น
ส่งผลทำให้ประชาชนลงคะแนนให้มากมายต่างไปจากก่อนจนได้เป็นพรรคหลักในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล
แต่หลังจากได้เป็นรัฐบาลนานกว่า สามปี ก็ยังไม่มีท่าทีว่า ประชาชนจะสามารถปลูกกัญชาได้อย่างเสรีตามป้ายโฆษณาหาเสียงไว้
นโยบายตามแผ่นป้ายโฆษณาได้ถูกประชาชนทวงถาม พร้อมคำตอบที่เป็นการซื้อเวลาไปเรื่อยๆ
ในที่สุด คงเห็นว่าไปต่อไม่ไหว ก็ใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขใหม่ ไม่กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดต่อไป ประชาชนสามารถปลูก ขน ค้าและสูบเสพกันได้อย่างเสรี โดยที่ยังไม่ได้มีกฎหมายควบคุมการปลูก ขน ค้า และสูบเสพแต่อย่างใด
โดนใจพ่อค้าและประชาชนผู้นิยมกัญชาเป็นอย่างมาก!
แต่เมื่อต่อมาได้ปรากฏผลกระทบขึ้นมากมายในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือการใช้ในการมอมเมาเพื่อล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ กลับหลังหันทันที บอกเป็นนโยบาย กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์ เท่านั้น
พร้อมออกประกาศเรื่องวิธีสูบเสพไม่ให้มีควันรบกวนผู้อื่น รวมทั้งขายหรือจำหน่ายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี
แต่หลังจากที่ร่างกฎหมายกัญชง กัญชา เข้าสู่การพิจารณาของสภา
กลับกลายเป็นว่า มีเนื้อหาให้ ปลูกได้บ้านละ 15 ต้น ส่วนประชาชนจะนำไปใช้เพื่อการแพทย์รักษาโรคอะไร หรือสูบเสพ ใส่ต้มไก่กินกันให้สนุกสนาน จะแยกแยะและมีวิธีการตรวจสอบควบคุมอย่างไร?
ไม่มีผู้รับผิดชอบคนใดออกมาอธิบายให้ผู้คนเข้าใจ
เป็นเหตุให้ผู้แทนราษฎรแม้กระทั่งพรรครัฐบาลพากันค้านร่างกฎหมายดังกล่าว ด้วยมองเห็นหายนะของชาติและประชาชนในอนาคตอยู่รำไร!
แต่ ส.ส.ทุกพรรคแม้แต่พรรครัฐบาลที่คัดค้านกลับถูกใส่ความว่าเป็นตัวการขัดขวางนโยบายดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ด้วยเกรงผู้คนจะลงคะแนนให้พรรคที่เป็นเจ้าของนโยบายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
มั่วไปมั่วมา ด้วยนโยบาย กัญชามายา ซึ่งขณะนี้ประชาชนทั้งประเทศ ได้มีการปลูกและสูบเสพเพื่อการแพทย์กันอย่างมีความสุขสนุกสนาน ในปัจจุบัน!.
ที่มา : นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 3 ต.ค. 2565