ตำรวจชั่วไม่กลัว ปปช.ใช้เครื่องบิน ตร.ขนเหล้าเถื่อน!
ตำรวจชั่วไม่กลัว ปปช ใช้เครื่องบิน ตร.ขนเหล้าเถื่อน!
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ประเทศไทยในวันนี้ สำหรับคนที่มีอำนาจ โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและข้าราชการ ผู้มีตำแหน่งและยศสูง โดยเฉพาะตำรวจและทหาร ดูราวจะเป็น “แผ่นดินสวรรค์” สำหรับพวกเขาและญาติพี่น้อง เลยทีเดียว
ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต่างจมอยู่ในความยากจนและทุกข์ระทมจากความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งความอยุติธรรมสารพัด
แม้กระทั่งความยุติธรรมตามกฎหมายในสังคมที่ พูดบอกกรอกหูประชาชนกันทุกวันว่าเป็นประชาธิปไตยหรือการปกครองโดยกฎหมาย ก็ยากที่คนส่วนใหญ่จะได้รับหรือแม้แต่สัมผัสได้โดยง่าย ทหารและตำรวจผู้ใหญ่แต่ละคน โดยเฉพาะชั้นนายพล จะมีตำรวจทหารผู้น้อยยศด้อยกว่าถูกนำมาใช้เป็นข้าทาสบริวาร คอยทำงานทั้งราชการและที่บ้านยันลูกเมียกันมากมาย!
อย่างองค์กรตำรวจนั้น เลวร้ายถึงขนาดมีการออกระเบียบกำหนดให้ระดับผู้ช่วย ผบ.ตร.ขึ้นไปหลังเกษียณอายุราชการแล้วยังสามารถนำตำรวจ 2-3 นายไปติดตามรับใช้ส่วนตัวและครอบครัวได้จนตาย!
ตำรวจผู้ใหญ่หลายคนใช้ชีวิตกันแบบอภิสิทธิ์ชน เดินทางไปไหนก็มีรถตำรวจเปิด “ไฟฉุกเฉินเถื่อน” เปิดทางนำพาฝ่าสัญญาณไฟแดงกันอย่างสะดวกสบาย!
สำหรับเงินรายได้ของพวกเขาในแต่ละเดือนก็มีกันมากมายหลายทาง ทั้งอัตราเงินเดือนที่ต่างจากระดับล่างหรือที่เรียกกันอย่างเหยียดหยามว่า “ชั้นประทวน” อย่างลิบลับกว่า 15 เท่า ต่างไปจากประเทศที่เจริญทั่วโลกที่ห่างกันไม่เกิน 5 เท่าเท่านั้น
นอกจากนั้นก็ยังรับ เงินประจำตำแหน่ง ที่อ้างกันว่าเป็นค่าใช้จ่ายนอกกฎหมาย ค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมพิเศษในเวลาราชการ และการนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจต่างๆ อีกสารพัด
ยังไม่นับรวมหุ้นลับหุ้นลมในธุรกิจสีเทาบ่อนการพนัน สถานบันเทิง และแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายอีกมากมาย โดยเฉพาะในสายตำรวจ!
คนพวกนี้ส่วนใหญ่จึงไม่มีความคิดความต้องการการเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปประเทศอะไรเพื่อให้ประชาชนในชาติได้รับความยุติธรรม ทั้งทางกฎหมาย การเมืองและเศรษฐกิจแต่อย่างใด เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวอื้อฉาวที่ตำรวจแห่งชาติปิดไว้ไม่มิดอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถูกเปิดเผยออกมาโดยเพจ “ปฏิบัติการหมาเฝ้าบ้าน” แทนหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบทุกหน่วย
เป็นการ ขนเหล้าเถื่อนโดยเครื่องบินลำเลียงขนาดใหญ่ 2 ลำของตำรวจคือเครื่อง CASA ที่จัดซื้อจัดหามานับพันล้านเพื่อให้ “นรต.ฝึกกระโดดร่มเล่น” และเป็น “สัญลักษณ์บอกฝ่าย” ว่าพวกข้าเป็นกลุ่มตำรวจที่ไม่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย โดยไม่มีภารกิจที่จำเป็นต่อราชการหรือในงานสอบสวนหรือการรักษากฎหมายอะไรแม้แต่น้อย!
และเครื่อง Falcon ที่เป็นเครื่องบินโดยสารชั้นวีไอพีชั้นดีราคาแพงที่สุด
บินจากสนามบินหาดใหญ่ไปลงที่ สนามบิน ทอ.ดอนเมือง กทม. มีชายลึกลับขับรถตู้มารอรับเหล้าเถื่อนออกไป!
เรื่องนี้เกิดขึ้นแต่ปี 2561 และ น่าจะเป็นกรณีที่มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานและถูกเผยแพร่ออกมาในยุคการสื่อสารออนไลน์เท่านั้น!
ส่วนที่ ทำกันมาก่อนนี้มากมาย แต่คงไม่มีใครคิดถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้ เพราะคิดว่าถ่ายไปก็ไม่รู้จะเอาไปส่งให้ใครให้ดำเนินการตามกฎหมายให้เกิดมรรคผลได้
ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ตร. ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตำรวจผู้ขนค้าเหล้าเถื่อน นั้นเอง
หรือ แม้แต่ ป.ป.ช. หรือที่เรียกชื่อเต็มว่า “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ”
หลังจากเป็นข่าวอื้อฉาวในสื่อหลัก ปิดกันไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
ทั้งตำรวจแห่งชาติ และ ป.ป.ช. จึงได้เริ่มเคลื่อนไหว!
ตามข่าวบอกว่า ผบ.ตร. ได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบข้อเท็จจริงรายงานให้ทราบโดยเร็ว ส่วนเมื่อได้รับรายงานผลการตรวจสอบแล้ว จะดำเนินการทางวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรงอะไรต่อไปหรือไม่ ไม่มีใครแน่ใจ?
เพราะรายงานสรุปของจเรตำรวจอาจกลายเป็นว่า เป็นการขน น้ำปลาหรือน้ำบูดูชั้นดี 20 ลัง จากภาคใต้เอาไปฝากลูกเมีย มีความผิดแค่วินัยไม่ร้ายแรงก็เป็นได้! เนื่องจากไม่มีตำรวจนายใดเข้าให้ปากคำเป็นพยานว่า ในกล่องสี่เหลี่ยมที่มีถุงดำห่อหุ้มปิดคลุมอยู่นั้น เป็น “เหล้าหนีภาษี” จริงหรือไม่?
จะไปถามตำรวจผู้น้อยตามภาพที่ช่วยกันแบกขน แต่ละนายก็คงได้รับคำสั่งให้ “เป็นใบ้” ตอบไม่รู้ไม่เห็นว่าเป็นเหล้าหรืออะไร เจ้านายผู้มียศสูงกว่าสั่งให้แบกขน แต่ละนายก็แบกไปใส่ให้ไว้ในเครื่องบินตามคำสั่งเท่านั้น!
ส่วน ป.ป.ช. นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการ ก็ออกมาบอกว่า เรื่องนี้เกิดแต่ปี 2561 แต่เพิ่งได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อต้นเดือนตุลาคม ปี 2563
จับความได้ว่า ไม่ได้มีใคร “ดองเรื่อง” หรือ “ปฏิบัติหน้าที่ชักช้า” อะไร
แต่อยู่ใน “ขั้นตอนที่น่ากลัว” ที่สุด ก็คือ “การแสวงหาข้อเท็จจริง” เพราะไม่รู้จะต้องใช้เวลากันนานเท่าใด? และผลจะออกมาอย่างไร?
ในอดีต บางคดี ป.ป.ช.ใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจริงในความผิดอาญาร้ายแรงอยู่ร่วมสิบปี แล้วมีมติยุติเรื่อง “ไม่ยอมไต่สวน” ก็ยังมี!
กรณีดังกล่าว ตามข่าวที่มีการกล่าวหา มีทั้งการใช้เครื่องบินราชการขนเหล้าเถื่อน และการเบิกเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางไปราชการเท็จ
ข้อหาแรก ถือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฐานเบียดบังทรัพย์ของทางราชการซึ่งตนมีหน้าที่รักษาทรัพย์นั้นโดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มีโทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิต!
แต่ “ตำรวจชั่ว” นั้น ไม่เคยกลัว ป.ป.ช. เพราะรู้ดีว่า กว่าจะแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร นำไปสู่ขั้นตอนการออกคำสั่ง “ตั้งอนุกรรมการไต่สวน” ส่งให้ ป.ป.ช.คณะใหญ่มีมติชี้มูล ส่งให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาล สืบพยานให้สิ้นสงสัย จนศาลแน่ใจว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดจริงทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา แล้วพิพากษาลงโทษจำคุก
แต่ละคดีจะใช้เวลารวมเกือบสิบปี!
ตำรวจชั่วหลายคนได้ดิบได้ดีเจริญก้าวหน้าได้เลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้นแม้กระทั่งเป็นพลตำรวจตรี พลตำรวจเอก ก็มากมาย
บางคนหมดลมหายใจตายความผิดอาญาได้สิ้นสุดลงตามกฎหมายแล้วก็มี
ทิ้งทรัพย์สมบัติซึ่งเป็น “สินโจร” ที่ได้มามากมายไว้ให้ลูกหลานได้ใช้กันอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต!
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 13 ก.ย. 2564