รัฐบาล’เตะถ่วง’ปฏิรูปตำรวจ เปิดช่องตร.ชั่วใช้ถุงคลุมหัว’ฆ่าประชาชน’

 

                       รัฐบาล “เตะถ่วง” ปฏิรูปตำรวจ

                เปิดช่อง ตร.ชั่ว ใช้ถุงคลุมหัว! “ฆ่าประชาชน”

 

เหตุการณ์ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์และลูกน้อง ใช้ถุงดำคลุมหัว ผู้ต้องหายาเสพติดจนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต  สร้างความตื่นตระหนกกับคนทั้งประเทศ และสะเทือนวงการสีกากีอย่างยิ่งอีกครั้ง

แต่แท้จริงแล้ว  ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรสำหรับคนที่อยู่ในวงการตำรวจ เพราะเหตการณ์ ตร.ใช้ถุงดำคลุ่มหัวทรมาณผู้ถูกต้องหามีมานานแล้ว  ปกติจะทำกันเซฟเฮ้าส์หรือที่เรียกว่า “บ้านผีสิง” และห้องสืบสวนโรงพักใหญ่ๆ แทบทุกแห่ง

ในแทบทุกพื้นที่ยังมีตร.ที่ใช้พฤติกรรมแบบนี้อีกมากมาย โดยที่ทำสำเร็จแล้วไม่เป็นข่าว โดยเฉพาะหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 สถานบันเทิง แหล่งอบายมุขต่างๆถูกปิด ทำให้รายได้นอกระบบ ของตำรวจผู้ใหญ่ ลดลง ตำรวจผู้น้อยจึงหันมาใช้วิธีการจับผู้ต้องหายาเสพติดขู่กรรโชกรีดเอาทรัพย์แลกกับอิสรภาพมากขึ้น

การที่ตำรวจผู้ใหญ่นำ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ มาแถลงข่าวผ่านโทรศัพท์  ถือเป็นการเปิดทางให้มีการฟอกตัวเอง และ จัดฉากกอบกู้ภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่า ไม่ได้กระทำเพื่อเงิน  ซ้ำยังเป็นการกระทำเพื่อชาติและประชาชนอีกด้วย!

ทำให้สังคมไทยเกิดข้อกังว่า  สุดท้าย คดีนี้จะเป็น ”มวยล้มต้มคนดู” ผู้กระทำและผู้รับผิดชอบเกี่ยวข้องทุกคนจะถูกลงโทษตามข้อเท็จจริงของการกระทำผิดที่เกิดขึ้นหรือไม่?

เหตุที่ ตำรวจซึ่งถือว่าเป็นผู้รักษากฎหมายของชาติกล้าก่ออาชญากรรมต่อประชาชนอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้  สามารถกล่าวได้ว่า  สาเหตุสำคัญเกิดจาก “อำนาจเป็นพิษ”

            ทั้งกฎหมาย ป.วิ อาญา เกี่ยวกับการสอบสวนที่กำหนดให้ตำรวจเป็นผู้ผูกขาดอำนาจสอบสวนไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว  โดยเฉพาะ พรบ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2519 มาตรา15 ให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมผู้ต้องหาได้ถึง 3 วัน  โดยยังไม่ต้องส่งพนักงานสอบสวนภายใน 24 ชั่วโมงเช่นความผิดข้อหาอื่น   ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนขึ้นอย่างเลวร้ายมากมาย

พฤติกรรมการจับกุมในคดียาเสพติดของตร.กลุ่มนี้ทำผิดกฎหมายหลายประการ เช่นไม่มีการแจ้งข้อหาบันทึกการจับกุมผู้กระทำผิด และเมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานก็ไม่แจ้งอัยการมาชั้นสูตรพลิกศพตาม ป.วิอาญา  ซ้ำกลับช่วยกันทำลายพยานหลักฐาน ไม่ต่างการกระทำของ “โจร”  ไม่ใช่ตำรวจผู้รักษากฎหมายแต่อย่างใด

นอกจากนั้นตำรวจไทยยังมีอำนาจทั้งจับและสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเอง เป็นการผูกขาดงานสอบสวน  โดยไร้การควบคุมตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นอย่างสิ้นเชิงแม้กระทั่งพนักงานอัยการผู้มีหน้าที่ฟ้องคดี

ทำให้ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน สอบสวนทำให้ผิดเป็นถูก-ถูกเป็นผิด หรือ “เป่าคดี” กันอย่างไรก็ได้  สอบสวน ครบ 84 วัน ก็ส่งให้อัยการอ่านสำนวน หรือมีจำนวนไม่น้อยเป็น “นิยายสอบสวน”  หลายคดีใช้วิธีส่งให้อัยการวันสุดท้ายของอำนาจควบคุม  อัยการไม่มีเวลาดูสำนวนก็ต้อง “รีบสั่งฟ้อง” ไป ไม่มีเวลาพิจารณาว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาลงโทษผู้ต้องได้หรือไม่

ศาลอาญาก็พิจารณาคดีจากสำนวนและเอกสารต่างๆ ที่ตำรวจทำขึ้น  ไม่มีโอกาสรับรู้พยานหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงแห่งคดีทั้งหมด ไม่ได้ลงมา “เดินเผชิญสืบ”หรือไต่สวนเหมือน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่ผู้พิพากษาจะรับรู้หรือมีโอกาสเห็นข้อเท็จจริงมากกว่าที่อยู่ในกระดาษ

ทำให้สถิติการพิพากษาลงโทษคดีของประเทศไทยต่ำมากเพียงประมาณ 63 เปอร์เซ็นต์  ปล่อยคนชั่วลอยนวลและ/หรือผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ ต่างจากประเทศที่มีการก้าวหน้าด้านกระบวนการยุติธรรม เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ศาลลงโทษถึง98-99%  หมายความว่าคดีขึ้นสู่ศาลจะมีความชัดเจนตั้งแต่ชั้นการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว

งานสอบสวนคดีอาญาจึงเป็นหัวใจสำคัญของต้นทางกระบวนการยุติธรรม แต่พนักงานสอบสวน(พงส.)ของไทยยังอยู่ในระบบที่ล้าหลัง  คือมีระบบการปกครองตามชั้นยศและวินัยแบบทหาร   หากไม่ทำตามสั่งก็ถูกกลั่นแกล้งลงโทษได้สารพัด ทั้งกักยามและแม้กระทั่ง “กักขัง” เหมือนผู้กระทำผิดอาญา

ตร.ชั้นผู้ใหญ่จึงใช้งานสอบสวนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการคุ้มครอง “ธุรกิจสีเทา” และสิ่งผิดกฎหมาย  เมื่อสามารถทำผิดก็ทำให้เป็นถูกได้ ตร.จึงกล้าลงทุนซื้อเก้าอี้หัวหน้าสถานีและระดับต่างๆ  เพราะมั่นใจว่าเมื่อนั่งในตำแหน่งเหล่านี้  ก็จะสามารถใช้อำนาจสอบสวนถอนทุนคืนได้ไม่ยาก

สหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ จึงเคลื่อนไหวเรียกร้องปฏิรูปด้วยการแยกงานสอบสวนอิสระจากสตช. แต่หลังจากเลขาธิการสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติ (พ.ต.ท.จันทร์ ชัยสวัสดิ์ ) ไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่ทำทำเนียบรัฐบาล เมื่อต้นปี 2559 แล้วพบศพผูกคอตายปริศนาที่บ้านพัก พงส.ก็ไม่เคลื่อนไหวอีก

หลังจากนั้น มีพนักงานสอบสวนฆ่าตัวตายนับสิบราย เนื่องจากมีความเครียดได้รับความกดดันจากการทำหน้าที่ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่เคยยอมรับความจริง โยนว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

และเมื่อวันที่ 5 ต.ค.2560 เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ(คป.ตร.) ร่วมกับองค์กรประชาชนทั่วประเทศ 102 องค์กร ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้เร่งปฏิรูปตำรวจตามเสียงเรียกร้องของประชาชน โดยเรียกร้องให้นายกฯ ดำเนินการปฏิรูป 8 เรื่องดังนี้

1.เร่งโอนตำรวจ 11 หน่วยไปให้กระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบ เป็นการกระจายอำนาจไปยังหน่วยงานที่จำเป็น เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเฉพาะด้านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นภายในเวลา 2 ปี 2. แยกระบบงานสอบสวน ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 3. ให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีที่มีโทษจำคุกเกิน 5 ปี หรือคดีที่เห็นว่าจำเป็น 4. การสอบสวนต้องกระทำในห้องสอบสวนที่จัดเฉพาะ มีระบบบันทึกภาพ และเสียงอัตโนมัติเป็นหลักฐานไว้ให้อัยการและศาลเรียกตรวจสอบได้

5.ยุบกองบัญชาการทุกภาค เพื่อลดความซ้ำซ้อน และไม่จําเป็นในระบบการบังคับบัญชา 6. ปรับโครงสร้างตำรวจจังหวัด ตามคำสั่งของนายกฯ ที่ให้ตำรวจอยู่ประจำพื้นที่จังหวัด ตรวจสอบประเมินผลโดย คณะกรรมการจังหวัด และการบังคับบัญชาของผู้ว่าฯ 7. กำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่ง และโยกย้ายตํารวจทุกระดับ ให้พิจารณาตามอาวุโสการครองตำแหน่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง 8. การเปรียบเทียบปรับความผิดจราจร ซึ่งเป็นอำนาจตุลาการ ต้องกระทำโดยดุลยพินิจของศาล เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชน และยกเลิกรางวัลค่าปรับซึ่งไม่มีเหตุผล

การปฏิรูปตำรวจในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา มีการตั้งคณะกรรมการหลายชุด แต่ไม่มีความคืบหน้า ล่าสุดคือร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการฯ หลังจากเสนอเข้าครม.แล้ว แต่สำนักเลขาธิการครม.กลับส่งไปให้สตช.พิจารณาอีก ทั้งที่ผ่านการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามรธน.มาตรา77แล้ว

ต่อมา ที่ประชุมครม.วันที่19 ม.ค.2564เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ตามที่สตช.เสนอแทนฉบับคณะกรรมการชุดนายมีชัย  โดยตัดสาระสำคัญไปหลายประการ อาทิ ประเด็นการแยกงานสอบสวนให้มีสายการบังคับบัญชาและการสั่งคดีต่างหากจากงานตำรวจ  ป้องกันมิให้ถูกแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจ  เนื่องจากสามารถกลั่นแกล้งแต่งตั้งโยกย้ายพงส.ทีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายได้ง่าย  ก็ถูกสตช.ตัดออกไปพร้อมกับวิธีประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยตำรวจโดยภาคประชาชนที่จะทำให้ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นมากขึ้น

การแก้ไของค์ประกอบของ ก.ตร. มีสัดส่วนของตำรวจผู้ใหญ่ทั้งในและนอกราชการถึง 9 คน จากคณะกรรมการรวม 18คนดังกล่าว จะส่งผลทำให้การออกกฎและระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจหลายเรื่องที่ถูกร่างฉบับของสตช.กำหนดให้กระทำโดยมติ ก.ตร. เช่น การกำหนดให้ตำรวจบางหน่วยไม่มียศ  การโอนงานตำรวจเฉพาะทาง13  หน่วยไปให้กระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบ และอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง

หลังจากร่างพรบ.ตำรวจฯเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ 49 คน ล่าสุด นายวิรัช  รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … ของรัฐสภา  เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจฯ ว่า การพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ทันสมัยประชุมนี้ ซึ่งร่างกฎหมายนี้ผ่านการพิจารณามาหลายคณะแล้ว ทั้ง พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์, นายมีชัย ฤชุพันธุ์ จนปัจจุบันเป็นร่างผสมผสานระหว่างรัฐบาลกับสตช. จนกระทั่งส่งมาให้คณะกรรมาธิการพิจารณา ซึ่งหัวข้อแต่ละเรื่องมีข้อโต้แย้งเกือบทุกมาตรากว่าจะผ่านไปได้ จึงมีความล่าช้า คาดว่าถ้าเร่งพิจารณาจะดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่ถึงปี โดยจะพยายามให้เร็ว

ส่วนกรณีมีจะมีการแปรญัตตินำเนื้อหาสาระของร่างพรบ.ตำรวจฯ ชุดอ.มีชัย ประกบเข้าไปในชั้นกมธ.ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้หรือไม่

นอกจากนี้ยังมี ร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. ….ว่าด้วยการสอบสวน ซึ่งเสนอโดยคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน  และผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  และนายชวน  หลีกภัย ประธานสภา ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีให้นำเข้าเข้าสู่ที่ประชุมสภาอีกครั้ง   ซึ่งถือว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอบสวนที่ก้าวหน้ากว่าทุกฉบับ

โดยสาระสำคัญ คือ การตรวจค้น จับกุม สอบปากคำต้องบันทึกภาพเสียง อัยการมีอำนาจตรวจสอบคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียน เป็นต้น  ซึ่งถือว่ามีความก้าวหน้ามากที่สุด

แต่ร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจทั้ง 2 ฉบับ ก็ยังไม่คืบหน้า และยังมีความพยายามของตำรวจผู้ใหญ่ในการถ่วงเวลาหรือแปลงสาร หมกเม็ด เพื่อรักษาอำนาจของพวกตนไว้ให้นานที่สุดอีกด้วย

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไม่ได้ใส่ใจการปฏิรูปตำรวจแต่อย่างใดและไร้ภาวะผู้นำ  จึงไม่มีแนวทางการปฏิรูปที่ก้าวหน้า ปล่อยให้ผู้เกี่ยวข้องว่ากันไปแบบเลยตามเลย แล้วสุดท้ายก็ไม่สามารถปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

หากนายกรัฐมนตรี มีความสำนึกและตระหนักรู้ถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง การปฏิรูปตำรวจก็สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ทุกคนต้องเข้าใจว่า “การปฏิรูป” หรือ Reform คือ “การเปลี่ยนรูป” เปลี่ยนโครงสร้างใหม่ เพื่อเป็นหลักประกันในสิทธิเสรีภาพของประชาชน   วางกลไกป้องกันไม่ให้ตำรวจทำชั่วได้ง่ายๆ หรือทำผิดกฎหมายแล้วจะต้องถูกลงโทษ

หากรัฐบาลยังไม่เร่งปฏิรูปและยังมุ่งรักษาโครงสร้างที่เลวร้ายแบบเดิมไว้ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ตำรวจกล้าทำผิดกฎหมาย ก่ออาชญากรรมต่อประชาชน เช่น คดีผกก.โจ้ ได้อีกต่อไป  ซึ่งผู้นำประเทศที่ ตระบัดสัตย์ไม่รักษาสัญญาประชาคมในการปฏิรูป ก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

         ดังนั้น หากจะประณามแก๊งตำรวจที่ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาจนเสียชีวิต ก็ต้องประณามผู้นำประเทศที่เพิกเฉยต่อการตรวจสอบควบคุมและการปฏิรูปตำรวจที่เป็นบ่อเกิดการก่ออาชญากรรมในองค์กรตำรวจ ที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน

 

About The Author