‘แผนประทุษกรรม’งานโง่ๆ ที่ตำรวจผู้น้อย จำใจทำเพื่อให้ตำรวจผู้ใหญ่ได้ออกสื่อ
“แผนประทุษกรรม” งานโง่ๆ ที่ตำรวจผู้น้อย จำใจทำเพื่อให้ตำรวจผู้ใหญ่ได้ออกสื่อ
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ปัจจุบันนี้ไม่มีใครรู้ว่า แต่ละวันเดือนปีมีอาชญากรรมหรือการกระทำความผิดอาญาสารพัดเกิดขึ้นจริงในสังคมไทยมากน้อยเพียงใด?
เพราะหากความผิดเรื่องไหนที่ประชาชนไม่ได้ไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีจำนวนคดีนั้นก็จะไม่ปรากฎ
แม้กระทั่งไปแจ้งความร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่โรงพักหรือหน่วยตำรวจต่างๆ แล้ว แต่พนักงานสอบสวนกลับทำแค่ “ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานตามที่ถูกตำรวจผู้ใหญ่สั่งไว้”ไม่ยอมออกเลขคดีอาญาเข้าสารบบ!การกระทำผิดก็จะไม่ปรากฏเป็นสถิติคดีด้วยเช่นกัน
ประมาณกันว่า มีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากกว่าที่ปรากฎเป็นสถิติคดีไม่น้อยกว่าสิบหรืออาจถึงยี่สิบเท่า!
เราจึงมักได้ยินเรื่องที่คนร้ายหลายรายรับว่าได้ก่ออาชญากรรมลักษณะเดียวกันนั้นมาหลายสิบหรือนับร้อยครั้ง จึงถูกจับได้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดประเภทลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฉ้อโกง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการข่มขืนและทำอนาจารที่เกิดกับหญิงสาวซึ่งเป็นลูกชาวบ้านผู้ยากจนส่วนใหญ่!
สังคมไทยจึงมีดัชนีชี้วัดความปลอดภัยเฉพาะตัวเลข!
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตกันอย่างหวาดผวาต่อปัญหาอาชญากรรมสารพัด
และเมื่อรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่รับผิดชอบงานรักษาความปลอดภัยและกฎหมายของประเทศ ถูกสื่อตั้งคำถาม หรือ สส.รุกไล่ในสภา
คำอธิบายที่ได้ยินจนคุ้นหูก็คืออาชญากรรมทุกด้านล้วนลดลงทุกเดือนและทุกปีตามที่ ผบ.ตร.ทุกยุคสมัยรายงานให้ทราบเป็นระยะๆ!
ควรจะพอกันได้แล้ว สำหรับการบริหารราชการบนฐานข้อมูลที่เป็นเท็จซึ่งส่งผลทำให้ทุกรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรในทุกๆ ด้านได้อย่างแท้จริงเช่นทุกวันนี้
มีปัญหาการสอบสวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งซึ่งตำรวจไทยได้กระทำด้วยความเคยชินกันมานานโดยไม่มีใครเฉลียวใจว่ามีความจำเป็นหรือประโยชน์อะไรในการพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับการกระทำผิดจริงหรือไม่?
นั่นคือ การทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพของผู้ต้องหา
ที่มาของเรื่องนี้ซึ่งมีมาแต่โบราณก็คือ เมื่อผู้ต้องหาแต่ละคนให้การรับสารภาพแล้ว เจ้าพนักงานก็ยังไม่แน่ใจ
หลายคดีมีข้อสงสัยซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่อการรวบรวมพยานหลักฐานเสนอให้อัยการสั่งฟ้องต่อศาลพิพากษาลงโทษได้
จำเป็นต้องนำตัวผู้ต้องหาใส่ขื่อคาไปแสดงท่าทางประกอบหลักฐานต่างๆ ให้เจ้าพนักงานดู ณ ที่เกิดเหตุว่า กระทำผิดด้วยวิธีการใดและอย่างไรเพื่อให้เกิดความแน่ใจ
เป็นกระบวนการยุติธรรมสมัยโบราณแต่ครั้งก่อนรัชกาลที่ ๕ ย้อนยุคขึ้นไปซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาคดีอาญาแต่อย่างใด
ซ้ำยังให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า “ผู้ถูกกล่าวหาทุกคนเป็นผู้กระทำผิด”
ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนมีหน้าที่พิสูจน์ตนเองด้วยการดำน้ำหรือลุยไฟ ซึ่งถ้าไม่ได้กระทำผิด ก็ต้องอดทนต่อการเฆี่ยนตีที่แสนทารุณนั้นได้!
แต่ต่อมาหลังการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของสยามประเทศครั้งใหญ่ เพื่อให้พ้นจากการถูกชาติตะวันตกบังคับให้ยอมรับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ความคิดที่ล้าหลังนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลง วิธีพิสูจน์ความผิดด้วยระบบจารีตนครบาลได้ถูกยกเลิกไป
รวมทั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด สอดคล้องกับหลัก Presumption of Innocence ตามกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ที่ใช้กันในอารยะประเทศ
รัฐจึงไม่มีอำนาจละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกกล่าวหาทุกคนเกินความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำตัวไปคุมขังไว้โดยยังไม่มีคำพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ได้มีพฤติกรรมเป็นพิษภัยต่อพยานหรือเป็นอุปสรรคต่อการรวบรวมพยานหลักฐานอะไร
รวมทั้งการนำตัวผู้ต้องหาที่ตำรวจบอกว่ารับสารภาพไปทำแผนประทุษกรรม เพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้กระทำความผิดตามคำรับจริงหรือไม่ซึ่งถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาอย่างหนึ่ง
ซึ่งการปฏิบัติในเรื่องนี้ที่ยังมีอยู่กระทั่งปัจจุบันได้ถูกตำรวจผู้ใหญ่ผู้ไม่มีความรู้ทางกฎหมายหลายคนพูดแก้เกี้ยว ว่า เป็นการกระทำตามความประสงค์และสมัครใจของผู้ต้องหาคนนั้น?
ปัญหาคือ จริงหรือไม่?
จะมีผู้ต้องหาหญิงชายคนไหน แม้ว่าจะได้กระทำผิดจริง ยินดีและเต็มใจให้ตำรวจคุมตัวใส่รถห้องขังนำไปทำแผนประทุษกรรมกลางตลาดหรือถนนหนทางต่างๆ ท่ามกลางผู้คนและสื่อที่มามุงดูเพื่อถ่ายภาพกันมากมายซ้ำญาติพี่น้องก็พร้อมจะเข้ารุมทำร้ายด้วยความโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย!
และหลายคดีที่ผู้ต้องหายอมทำแผนประทุษกรรม แต่ก็ไปกลับคำให้การในชั้นศาลว่าเป็นการกระทำด้วยความจำใจที่ไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธได้ก็หลายคดี!
เช่น กรณีสองคนต่างด้าวชาวพม่าซึ่งถูกจับข้อหาฆ่าสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่าเป็นข่าวอื้อฉาวว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่เมื่อหลายปีก่อน!
ในความเป็นจริง หลายคดีเป็นที่รู้กันว่าตำรวจได้มีการพูดจาหลอกล่อต่อรองกับผู้ต้องหาสารพัดเช่น หากยอมทำแผนฯ แล้วจะไม่คัดค้านการประกัน หรือสอบสวนให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย ส่วนจะทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งทั้งนี้ ก็เพื่อให้เจ้านายที่เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกิดความพอใจได้มานั่งแถลงข่าวออกสื่อถือเป็นพระเอกผู้พิชิตคดีนั้น!
เราจึงมักเห็นภาพผู้ต้องหาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจนไปร่วมเข้าฉากแผนประทุษกรรมกับตำรวจกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีการใช้กำลังตำรวจรักษาความปลอดภัยจำนวนหลายสิบหรือนับร้อยนาย เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าทำร้ายหรือถูกญาติพี่น้องรุมประชาทัณฑ์ทั้งตำรวจและประชาชนวุ่นวายกันไปทั้งวัน!
ทั้งที่ในชั้นการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการส่วนใหญ่ การทำแผนประทุษกรรมของผู้ต้องหาไม่ได้มีผลต่อการพิจารณาสั่งฟ้องเลยแม้แต่น้อย
เพราะต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานทั้งบุคคล วัตถุ และวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ
ถ้าประจักษ์พยานและหลักฐาน “วิทยาศาสตร์แท้” ชัดเจนเป็นที่เชื่อถือได้ด้วยความมั่นใจ
แม้ไม่มีการทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพ อัยการก็ต้องสั่งฟ้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบัน หลายคดีที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานการกระทำผิดชัดยิ่งกว่าคำให้การของบุคคลใดที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ด้วยความมั่นใจ
ความจำเป็นในการนำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประทุษกรรมจึงแทบไม่มี!
ในประเทศที่เจริญทั่วโลกปัจจุบัน เขาไม่มีการนำผู้ต้องหาไปทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพ โดยถือว่าเป็นละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของบุคคลแต่อย่างใด
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2564