การไม่ลงโทษ’ตำรวจชั่ว’ คือการ ‘ทำร้ายจิตใจตำรวจดี’
การไม่ลงโทษ “ตำรวจชั่ว” คือการ “ทำร้ายจิตใจตำรวจดี”
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ขณะนี้ไม่มีใครคาดหมายได้ว่า สถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศไทยในรอบที่สาม จะดำเนินไปอีกนานแค่ไหน?
สุดท้ายจะจบหรือสงบลงไปตามธรรมชาติหรือจากการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ในการต่อสู้เอาชนะของมนุษยชาติรูปแบบใด?
จะสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งมีผู้คนต้องติดเชื้อถึงขั้นป่วยหนักหรือเสียชีวิตอีกมากน้อยเพียงใด?
แม้การก่อตัวครั้งแรกของเชื้อร้ายจะหาสาเหตุและต้นตอที่แน่ชัดว่ามาจากประเทศใดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันเพื่อไม่ให้เชื้อเข้ามาในไทย ถือว่าอยู่ในวิสัยที่รัฐจะสามารถจัดการหรือควบคุมด้วยมาตรการต่างๆ ได้
หากกลไกทุกส่วนได้ทำหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิภาพแท้จริง
แต่สิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศเสียใจและเสียความรู้สึกมากที่สุดก็คือ การแพร่ระบาดทุกครั้งกลับเกิดจากพฤติกรรมและการกระทำของเจ้าพนักงานรัฐที่เป็นตำรวจและทหารชั้นผู้ใหญ่เสียเอง
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกในกรณี พลตรีทหาร จัดให้มีการแข่งขันชกมวยโดย ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี โดยมี อภิสิทธิ์ชน ผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศเล็ดลอดเข้าไปร่วมชมเชียร์
และครั้งที่สอง จาก ขบวนการค้ามนุษย์ขนคนต่างด้าวชาวเมียนมาหนีเข้าเมือง ที่ จ่ายส่วยให้ตำรวจสารพัดหน่วย เป็นใบเบิกทาง
ผ่าน ด่านตรวจของตำรวจตามถนน มากมายจากชายแดนทิศตะวันตกของประเทศไปจนถึงจังหวัดสมุทรสาคร
ส่วนครั้งที่สาม ก็มาจาก บ่อนการพนันผิดกฎหมายขนาดใหญ่หลายแห่ง ในจังหวัดระยอง ชลบุรี จันทบุรี และตราด ที่เปิดเล่นกันมานานหลายปี!
โดยเป็นที่รู้กันว่า บ่อนพนันเหล่านี้มีตำรวจผู้ใหญ่ทั้งในระดับภาคและส่วนกลางคอยให้ความคุ้มครองอยู่ตลอดมา!
แม้ว่ากรมการปกครองจะเคยส่งชุดปฏิบัติการไปจับกุมบ่อนใหญ่ในหลายจังหวัดทั่วไทยรวมทั้งในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด
ก็ไม่ได้ทำให้การเปิดบ่อนพนันในจุดอื่นๆ รวมทั้ง หัวหน้าตำรวจผู้รับผิดชอบทุกระดับ เกิดความเกรงกลัวจนต้องสั่งให้หยุดหรือปิดกิจการลงแต่อย่างใด
ถือหลักว่า กรมการปกครองมีปัญญาเดินทางไปจับ ก็จับไป เดี๋ยวเปิดใหม่ได้!
เพราะปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยได้กลายเป็นหน่วยงานที่ไม่มีอำนาจสอบสวนความผิดตาม พ.ร.บ.การพนันที่ตนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือแม้กระทั่งตาม ป.วิ อาญา!
ที่จะทำให้สามารถสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานสืบสาวให้ไปถึงนายบ่อนที่แท้จริง รวมทั้งตำรวจผู้ใหญ่หลายระดับที่นั่งคอย รับส่วยสินบน ทั้งภูมิภาคและส่วนกลางได้
สำหรับการแพร่ระบาดจาก สถานบริการเถื่อน ย่านทองหล่อ ซึ่ง น่าจะถือเป็นครั้งที่สี่ ที่มีข่าวว่ามีนักการเมืองและตำรวจติดตามเข้าไปใช้บริการมากมาย
โดยได้สร้างความเสียหายให้แก่ชาติและประชาชนอย่างร้ายแรงยิ่ง จนหลายคนอาจต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็กลายเป็นคนล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว!
ปัญหาตำรวจผู้ใหญ่ปล่อยหรือ รู้เห็นเป็นใจ ให้มีแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนันหรือสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบจนฝ่ายปกครองต้องเข้าจับกุมแทน
รวมทั้งเกิดปัญหาอาชญากรรมฆ่ากันตาย หรือเรื่องราวที่ทำให้มีการสืบสาวไปถึงแหล่งอบายมุขโดย นักสืบสาธารณสุข ทุกครั้ง
ก็จะตามมาด้วยการที่ผู้บัญชาการหรือผู้บังคับการออกคำสั่งให้ตำรวจผู้รับผิดชอบระดับสถานีไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการอยู่ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งตำรวจผู้ใหญ่ไม่ว่าจะในตำรวจแห่งชาติรวมไปถึง นายกรัฐมนตรี ก็มักชี้แจงต่อสื่อว่านั่นคือ การดำเนินการทางปกครองในเบื้องต้น และจะตามมาด้วยการดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาดและจริงจังเป็นขั้นตอนต่อไป
ได้มีการออกคำสั่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ขึ้นมากมาย หลายร้อยคณะ!
แต่แท้จริงหาใช่กระบวนการทางกฎหมายในการดำเนินคดีอาญาและวินัยทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรงแต่อย่างใด
ซ้ำกลับกลายเป็น พฤติกรรมการประวิงการสอบสวน! เพื่อไม่ให้กระบวนการยุติธรรมคือ การตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย ได้เริ่มทำงานอีกด้วย
โดยจะเห็นได้ว่า ผลสุดท้ายไม่เคยมีกรณีใดที่นำไปสู่การ “ดำเนินคดีอาญา” หรือแม้แต่ “ลงโทษทางวินัยร้ายแรง” ตำรวจผู้รับผิดชอบระดับใดได้เลยแม้แต่คนเดียว!
ตำรวจส่วย ทุกระดับจึงไม่เคยกลัวคำสั่งให้ไปช่วยหรือปฏิบัติราชการ หรือที่สื่อเรียกกันว่า ถูกเด้ง
เพราะทุกคนรู้ดีว่าแท้จริงคือ “พฤติกรรมการคุ้มครอง” “เล่นละคร” ของตำรวจผู้ใหญ่ที่มีส่วนร่วมใน “ขบวนการตำรวจส่วย” รูปแบบหนึ่งเท่านั้น
การไม่ลงโทษคนชั่ว คือการทำร้ายจิตใจคนดี
สังคมใดที่รัฐบาลปล่อยให้ คนดีถูกลงโทษ และ คนชั่ว กลับ ได้รับรางวัล
สังคมนั้นจะมีแต่ความเสื่อมทรุด และอาจถึงขั้น ล่มสลาย ลงในที่สุด!
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 19 เม.ย. 2564