ขับรถเร็ว 120 กม./ชม. เรื่องหาเสียงที่ทำไม่ได้ และส่งผลทำให้ผู้คนเข้าใจผิด
ขับรถเร็ว 120 กม./ชม. เรื่องหาเสียงที่ทำไม่ได้ และส่งผลทำให้ผู้คนเข้าใจผิด
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
ปัญหาสำคัญของประเทศไทยที่ทำให้รัฐบาลแต่ละยุคสมัยไม่สามารถ แก้ปัญหาสังคม ต่างๆ ได้อย่างแท้จริงก็คือ ข้อมูลราชการแทบทุกหน่วยงาน “เชื่อถือไม่ได้”
และ บางหน่วยโดยเฉพาะตำรวจนั้น หลายเรื่องชั่วร้ายถึงขนาด “เป็นเท็จ” ผู้รับผิดชอบแต่งตัวเลขและรายงานสารพัดขึ้นหลอกรัฐบาลและประชาชนตลอดมา!
ทำให้ผู้คนหลงเข้าใจว่ารัฐได้แก้ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง
อย่างเช่น ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด บ่อนการพนัน ตู้ม้าและแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นมากมายทำลายเด็กและเยาวชนไปอย่างเหลือคณานับในช่วง สี่ปีที่ผ่านมา
เมื่อถูก ส.ส.นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจกลางสภา
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็นำข้อมูลที่ตำรวจผู้ใหญ่ส่งให้อ่านชี้แจงเสียงดังว่า เมื่อ สามปีที่ผ่านมาได้จับบ่อนการพนันไปกว่าห้าหมื่นคดี!
อ้างเป็นหลักฐานยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้บกพร่องหรือละเลยต่อปัญหานี้ตามที่มีประชาชนและผู้แทนราษฎรกล่าวหาแต่อย่างใด?
รวมทั้งรับรองเครือข่าย 3 ป. ไม่ “รับเงิน” บ่อนการพนันทุกประเภทอย่างแน่นอน!
เรื่องปัญหายาเสพติด บ่อนพนันและแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายนั้น ประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่องว่าตำรวจแต่ละหน่วยจับกันในแต่ละเดือนแต่ละปีทำสถิติได้กี่คดี
รวมทั้งนายกรัฐมนตรีมีพฤติกรรม “รับส่วยสินบน” เช่นเดียวกับผู้บัญชาการตำรวจและ “พลตำรวจเอก” คนใดที่คนไทยทั้งประเทศต่างรู้ทั่วกันไปด้วยหรือไม่?
แต่หัวใจก็คือแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายขนาดใหญ่ในแต่ละพื้นที่ซึ่งประชาชนรู้กันดีว่าเปิดมานานเป็นประจำ โดยมีคนเล่นหรือเข้าไปใช้บริการวันละนับร้อยหรือหลายร้อยคนนั้น มันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมไทยได้อย่างไร?
ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมา เคยมี “ตำรวจหน่วยใด” ทั้งในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค นอกจากฝ่ายปกครองสืบจับนายบ่อนการพนันและเจ้าของสถานบันเทิงผิดกฎหมายรายใหญ่ดำเนินคดีและยึดทรัพย์บ้างหรือไม่?
อย่างบ่อนใหญ่หลายแห่งในกรุงเทพมหานคร เช่น บ่อนพระราม 3 และภาคตะวันออก ในเครือข่าย “หลงจู๊สมชาย” ที่ประชาชนต่างรู้กันดีว่าเปิดมานานหลายปี
เหตุใดจึงไม่เคยมี ผกก.หัวหน้าสถานี ผบก. ผบช. และแม้กระทั่ง บช.ก. และอีกสารพัด ศูนย์ปฏิบัติการระดับ ตร. ดำเนินการสืบจับให้เห็นเช่นที่ฝ่ายปกครองนำกำลัง อส.ทั้งหญิงชาย ไปปฏิบัติการบ้างเลย!
จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิดรอบสองที่ทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดอาการ ฟิวส์ขาด ประกาศจะดำเนินการต่อตำรวจผู้รับผิดชอบทุกระดับอย่างจริงจัง!
มีการตั้งกรรมการสืบสอบพบตัวตำรวจผู้รับผิดชอบระดับต่างๆ รวมทั้งที่มีเอี่ยวเกี่ยวข้องกับบ่อนพนันเฉพาะในภาคตะวันออก กว่า 250 คน! ส่งผลให้มีการดำเนินคดีอาญาและวินัยร้ายแรงกับตำรวจระดับ ผบก.ตามที่มีการแจ้งข้อหาหลายคน
ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร จะมี ผบก.ตำรวจคนใดต้อง “ติดคุก” หรือถูกไล่ออก ปลดออกจากราชการเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อตำรวจคนอื่นบ้างหรือไม่?
เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนและประชาชนผู้สนใจต้องติดตามและถามหาความจริงใจจากนายกรัฐมนตรี
เช่นเดียวกับกรณีการ ล้มคดีบอส ที่ถูก สอบสวนทำลายพยานหลักฐาน โดย แก๊งนายพลตำรวจ ทั้งนอกและในราชการสี่ห้าคนสุมหัวกันก่ออาชญากรรม ซ่องโจร!
ใช้ ตำแหน่งและยศที่สูงกว่า กดดันให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์หลักฐาน เปลี่ยนรายงานความเร็วจาก 177 กม./ชม. เป็น “ไม่แน่ใจ” สั่งให้ พงส. “ที่รออยู่” รีบบันทึกปากคำไว้ เหลือเพียง 79.23
ซ้ำกรรมการสอบสวนทางวินัยที่เลขาธิการ ป.ป.ท.ส่งเรื่องให้ดำเนินการตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีกลับชี้ว่า “เทปเสียงการสนทนา” ใน “ห้องซ่องโจร” ดังกล่าว ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดีอาญาและวินัยกับใครได้!
เพราะ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ได้แอบบันทึกไว้โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก “โจร” แต่ละคนแต่อย่างใด?
รายงานที่เสนอ ผบ.ตร.ไปเช่นนี้ ถือเป็นกรณีปฏิบัติหน้าที่สอบสวนโดยมิชอบหรือไม่?
รวมทั้ง ผบ.ตร. จะสั่งให้ยุติเรื่องหรือให้ดำเนินคดีอาญากับอาชญากรแต่ละคนหรือไม่อย่างไร?
“กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน” รวมทั้งสื่อมวลชนและประชาชนก็ต้องช่วยกันติดตามด้วยเช่นกัน
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งซึ่งตั้งใจเสนอและวิพากษ์ในสัปดาห์นี้ก็คือ
กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจากพรรคภูมิใจไทยได้ออกกฎกระทรวงให้ประชาชนสามารถขับด้วยความเร็วถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่เคยพูดจาหาเสียงไว้
ผู้คนจะได้ไม่เดือดร้อนจากการที่ถูกตำรวจตรวจจับข้อฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจร ขับรถเร็ว เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ละคนขับรถขึ้นเหนือล่องใต้ โดนใบสั่งจากภาพถ่ายสะสมเป็นที่ระลึกและจ่ายค่าปรับ “ให้ตำรวจไปแบ่งเปอร์เซ็นต์” รวมทั้งส่งส่วยเจ้านายกันมากมาย!
เมื่อผู้รับผิดชอบทนต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนตามที่เคยพูดจาไว้ก่อนเป็นรัฐบาลไม่ไหว
ก็เลยจำใจต้องออกกฎกระทรวงเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ให้ประชาชนขับรถเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้
ผู้คนทั่วประเทศต่างหลงดีใจกันใหญ่ว่า ต่อไปไม่ต้องขับช้าเป็นเต่า หรือ ตกเป็นเหยื่อของตำรวจ เช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป
แต่เมื่อตรวจดูกฎกระทรวงที่ออกไว้ซึ่งมีข้อความในข้อ 2 ว่า “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับแก่ ทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถซึ่งได้แบ่งช่องทางเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่สองช่องเดินรถขึ้นไป มีเกาะกลางถนนแบบกำแพงและไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ตามที่ผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินประกาศกำหนด”
และข้อ 3 อัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงตามข้อ 2 มีดังต่อไปนี้
(1)รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกินสองพันสองร้อยกิโลกรัมหรือคนโดยสารเกินสิบห้าคน ไม่เกิน 90 กม./ชม.
(2) รถขณะลากจูง รถยนต์สี่ล้อเล็ก รถยนต์สามล้อ ไม่เกิน 65 กม./ชม.
(3) รถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 80 กม./ชม. เว้นแต่มีกำลังสามสิบห้ากิโลวัตต์ขึ้นไป หรือกระบอกสูบ 400 ซีซี ไม่เกิน 110 กม./ชม.
(4) รถโรงเรียน รับส่งนักเรียน ไม่เกิน 80 กม./ชม.
(5) รถโดยสารเกินเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้า ไม่เกิน 100 กม./ชม.
(6) รถแทรกเตอร์ รถบด รถใช้งานเกษตรกรรม ไม่เกิน 45 กม./ชม.
นอกจากนั้น ซึ่งหมายถึงรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป ให้แล่นได้ไม่เกิน 120 กม./ชม.
สรุปง่ายๆ ได้ว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลสามารถใช้ความเร็วได้ถึง 120 กม./ชม. เฉพาะถนนที่มีเกาะกลางกั้นด้วยกำแพงคอนกรีตและไม่มีจุดกลับรถระดับพื้น และมีป้ายแสดงความเร็วให้เห็นเป็นระยะๆ เท่านั้น!
ไม่สามารถขับบนถนนทุกสายที่ไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นการเฉพาะแต่อย่างใด เนื่องจากจะเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงยิ่ง โดยเฉพาะบริเวณจุดกลับรถที่ไม่ใช่ทางต่างระดับ
แม้กระทั่งถนนสายหลักต่างๆ ของประเทศเช่น ถนนพหลโยธิน ถนนมิตรภาพ และเพชรเกษม ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกแบบให้สามารถแล่นด้วยความเร็วถึง 120 กม./ชม. โดยไม่เกิดอันตรายทั้งต่อตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด
ประชาชนต้องเข้าใจว่า ทุกคนยังคงต้องขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“ตามมาตรฐานสากล” บนถนนส่วนใหญ่เช่นเดียวกับประเทศที่เจริญทั่วโลกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 15 มี.ค. 2564