‘ส่วยอบายมุข’ สร้างทุกข์ให้ประชาชน เพื่อ ‘บำรุงสุขตำรวจชั้นนายพล’
“ส่วยอบายมุข” สร้างทุกข์ให้ประชาชน เพื่อ “บำรุงสุขตำรวจชั้นนายพล”
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
การเลือกตั้งนายก อบจ.ทุกจังหวัดพร้อมกันทั่วประเทศที่ผู้คนให้ความสนใจกันมาก เนื่องจากสังคมไทยว่างเว้นจากความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีสิทธิเลือกแม้กระทั่ง ผู้นำท้องถิ่น ที่ตนอยู่อาศัยในทุกระดับให้ดูแลทุกข์สุขของประชาชนเหมือนอารยประเทศทั่วโลกมา กว่าเจ็ดปี!
ซึ่งขณะนี้ได้รู้ผลแล้วว่า ผู้สมัครอาสาคนใดได้เป็นนายก อบจ. และสมาชิกของแต่ละจังหวัดบ้าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ารับตำแหน่งไประยะหนึ่งแล้ว ทุกคนก็จะรู้ว่าเขาไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนอะไรให้ประชาชนได้อย่างแท้จริงตามที่หาเสียงไว้เลย!
เช่น เรื่องการรักษาถนนหนทางสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ให้เสียหายถูกทำลายด้วยรถบรรทุกหนัก รวมไปถึงการกำจัดแหล่งอบายมุขซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอาชญากรรม และการค้ายาเสพติดที่ประชาชนจำนวนมากคาดหวัง?
รวมทั้งบางคนได้ใช้เป็นประเด็นหาเสียงเลือกตั้งพูดจาโขมงโฉงเฉง ว่า ทนไม่ได้!
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่อง ผบช.ตร.ท่องเที่ยว ได้ออกคำสั่งให้ ผบก.ในสังกัดคนหนึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ประจำ ศปก.บช. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม
คำสั่งระบุว่า เนื่องจากมีปัญหาถูกตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีผู้ร้องเรียนและสื่อเสนอข่าวเรื่องการ จัดชุดเฉพาะกิจ ออกเดินสาย รีดส่วยสถานบันเทิง ในจังหวัดภาคอีสาน ซึ่งตนเคยเป็นผู้บังคับการตำรวจอยู่ในพื้นที่ภาคนั้น ก่อนจะถึงวันเกษียณอายุราชการ!
นับเป็นตำรวจรายแรกที่ถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุที่มีข้อมูลข่าวสารหรือการร้องเรียนเรื่องส่วยสินบนจากแหล่งอบายมุขผิดกฎหมาย
ถือเป็นสัญญาณแห่งการ เอาจริงเอาจังระดับหนึ่ง ของ พลตำรวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. คนใหม่
ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า สุดท้าย จะจริงจังต่อปัญหาในแต่ละเรื่องแค่ไหน?
หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ผู้รับผิดชอบได้ปล่อยให้หัวหน้าตำรวจทั้งพื้นที่และส่วนกลาง “รับส่วยสินบน” จากแหล่งอบายมุขสารพัดกันอย่าง “สบายใจ”!
ตำรวจชั้นผู้ใหญ่โดยเฉพาะชั้นนายพลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือหากิน กันจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีไปตามๆ กัน
ตำรวจไทยทุจริตรับส่วยสินบนสารพัดรูปแบบกันจน “แทบเป็นปกติ”
กระทั่งถูก “องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ” หรือ Global Corruption Barometer (GCB) ประกาศจัดอันดับให้เป็น ตำรวจแย่ที่สุดในอาเซียน นับแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
โดยย้ำว่า ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นเลย!
เป็นที่รู้กันดีทั่วโลกว่าแหล่งอบายมุขทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหวยใต้ดิน บ่อนการพนันผิดกฎหมาย ตู้ม้าและโต๊ะบอลทั้งออฟไลน์และออนไลน์ หรือสถานบันเทิงเถื่อนฝ่าฝืนเงื่อนไขอนุญาต ล้วนแต่ เป็นหนทางหายนะและความวิบัติของชาติและประชาชนในทุกสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
ปัญหาอาชญากรรมซึ่งเกิดขึ้นมากมาย เหลือคณานับ ในปัจจุบันทั่วไทยโดยที่ส่วนใหญ่ พนักงานสอบสวนไม่ได้บันทึกเข้าสารบบคดี!
มีตั้งแต่การละเมิดกฎหมายทำลายความสงบสุขในชุมชุน การลักทรัพย์ ฉกชิงวิ่งราว ไปจนกระทั่งเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย เกิดนักเลงหัวไม้และมือปืนรับจ้างตีหัวหรือฆ่าคน การฉุดคร่าทำอนาจารและข่มขืน รวมทั้งการเสพและค้ายาเสพติด เมาแล้วขับและอีกสารพัด
ล้วนมีรากเหง้าของปัญหามาจากแหล่งอบายมุขผิดกฎหมายที่ถูกตำรวจผู้ใหญ่ผู้ชอบสั่ง “กวดขันเรื่องวินัยตำรวจในเรื่องทรงผมและการแต่งกาย” เป็นผู้ปล่อยให้เกิดขึ้นหรือแม้กระทั่ง “อยู่เบื้องหลัง” ทั้งสิ้น!
เรื่องที่บอกว่าเป็นการลักลอบเปิดบ่อนการพนันหรือสถานบันเทิงผิดกฎหมายโดยหัวหน้าหน่วยตำรวจในพื้นที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น
เช่น เมื่อมีกรณีฝ่ายปกครองไปจับได้ ก็ใช้วิธีตั้งกรรมการขึ้นตรวจสอบสอบข้อเท็จจริงว่า ผู้รับผิดชอบแต่ละคนมีพฤติการณ์ รับส่วยสินบน อะไรหรือไม่? และสุดท้าย ผลสรุปอย่างเงียบๆ ที่ถูกรายงานก็คือ ไม่มีหัวหน้าหน่วยตำรวจคนใด ทุจริตหรือบกพร่องต่อหน้าที่ แม้แต่คนเดียว!
นั่นเป็นเพราะ ส่วยอบายมุข ไม่ว่าประเภทใด ได้ถูก “จัดสรร” ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ กันอย่างทั่วถึงนั่นเอง!
การปฏิวัติยึดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2558 แม้จะทำให้หลายเรื่องโดยเฉพาะเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในชั้นสอบสวน เดินถอยหลังเข้าคลองและเกิด ปัญหาความอยุติธรรม ขึ้นมากมาย!
เริ่มตั้งแต่ถูกตำรวจผู้ใหญ่ “หลอกให้ออกคำสั่ง”ฉวยอำนาจ ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการจากผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งถูกบัญญัติไว้ใน ป.วิ อาญา มากว่า 80 ปี ให้กลายเป็นอำนาจของ ผบช.ตำรวจภาคไป อย่างไร้เหตุผล!
สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้ตกเป็นผู้ต้องหากันอย่างแสนสาหัสอยู่ปัจจุบัน และกำลังมีความพยายามของสภาผู้แทนราษฎรในการแก้ไขกฎหมายให้กลับไปใช้แบบเดิมอยู่ขณะนี้
นอกจากนั้น ก็ยังสั่งรวบอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทุกระดับแม้กระทั่งนายสิบตำรวจจากที่เคยเป็นของ ตร.ภาค และจังหวัดให้กลับเป็นอำนาจของ ผบ.ตร. แต่เพียงผู้เดียว
ตำรวจทุกคนต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อวิ่งเต้นกับผู้มีอำนาจจากส่วนกลางเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
รวมไปถึงการยุบตำแหน่งและสายงานสอบสวนลงทั้งหมดตาม คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 7/2559
จากเดิมที่พนักงานสอบสวนเคยมีความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพตามสายงานกันระดับหนึ่ง ซึ่งแม้ไม่สามารถทัดเทียมกับฝ่ายสืบสวนหรือจราจรที่แท้จริงคือ งานลูกเสือ มีหน้าที่โบกรถราหรือจัดการจราจรได้
แต่ก็ยังถือว่า พอถูไถ เพราะ พงส.ทุกคนไม่ต้องวิ่งเต้นประจบหรือ ซื้อตำแหน่ง จากใคร ก็สามารถสอบเลื่อนขึ้นไปในระดับต่างๆ ด้วย ความรู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเองได้
แต่หัวหน้า คสช.ก็ได้ทำให้ ความเจริญก้าวหน้าของพนักงานสอบสวน เช่นนี้ หายไปในพริบตา ด้วยคำสั่งดังกล่าว!
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการปราบปรามแหล่งอบายมุข ก็นับว่ายังดีที่มีคุณูปการอยู่บ้าง โดยได้มีการออก คำสั่งที่ 22/2558 ให้ทุกหน่วยรวมถึงกรมการปกครอง ผู้ว่าราชการและนายอำเภอมีหน้าที่ในการจับกุมและตรวจป้องกันด้วย
ทำให้กรมการปกครองสามารถจัดชุดปฏิบัติการพิเศษขึ้นดำเนินการสืบสวนจับกุมแทน หัวหน้าตำรวจผู้รับผิดชอบทุกระดับที่ไม่ทำหน้าที่ มีผลการปฏิบัติออกสื่อเป็นที่รับรู้กันมากมาย
หลังการจับกุมก็มักตามมาด้วยคำสั่งให้ตำรวจผู้รับผิดชอบระดับต่างๆ ไปช่วยราชการที่นั่นที่นี่ น่าจะมีจำนวนรวมไม่น้อยกว่าสามร้อยคน!
แต่ผลสุดท้ายก็เคยได้ปรากฏหรือได้ยินข่าวว่า มีใครถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือแม้กระทั่งมีการลงโทษทัณฑ์ทางวินัย ไล่ออก ปลดออกใครเลยแม้แต่คนเดียว!
ปัญหาการรับส่วยสินบนจากแหล่งอบายมุขที่เป็นสาเหตุสำคัญของอาชญากรรมและความตกต่ำทางศีลธรรมของประชาชนในสังคมไทยนั้น
ผู้คนหรือ สื่อมวลชนและแม้แต่นักวิชาการอ่อนโลก มักเข้าใจว่า เพราะตำรวจไทยมีปัญหาเงินเดือนต่ำ งบประมาณไม่พอ ทำให้จำเป็นต้องขอเงินจากแหล่งอบายมุขไว้ใช้จ่ายใน การทำงานที่ไม่เป็นสาระ กันสารพัด!
แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริง สินโจร เหล่านี้ ไม่ใช่ทรัพย์ที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้น้อยหรือที่เรียกกันอย่างเหยียดหยามตลอดมาว่า ชั้นประทวน หรือแม้กระทั่งต้องนำมาใช้ในการปฏิบัติงานอย่างแท้จริงแต่อย่างใด
เพราะเมื่อหัวหน้าสถานีหัก สินโจร ส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเองและจัดสรรให้ระดับรองลดหลั่นกันไปแล้ว
ก็ต้องนำไป ส่งส่วย ให้กับ ตำรวจผู้ใหญ่ระดับต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมายทั้งในกองบังคับการและกองบัญชาการเป็นรายเดือนทั้งสิ้น!
ส่วยอบายมุข ที่สร้างปัญหาอาชญากรรมและความทุกข์ให้กับประชาชนคนไทยมาอย่างยาวนาน
ในทางกลับกันก็เป็นการ บำรุงสุข และ “สร้างความร่ำรวย” ให้กับตำรวจผู้ใหญ่โดยเฉพาะชั้นนายพลแต่ละคนที่หมุนเวียนกันเข้ามาทำหน้าที่รับผิดชอบในทุกระดับทุกพื้นที่ด้วย!.