ใครฆ่า’ลัลลาเบล’?รัฐจะคุ้มครองหญิงสาวมิให้ถูกละเมิดทางเพศได้อย่างไร?-พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร 

  

ยุติธรรมวิวัฒน์

 

             พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

 

กรณีน้อง ลัลลาเบล พริตตี้สาวอายุ 25 ปี ผู้ถูกนักเพาะกายพริตตี้หนุ่มอุ้มตัวเธอจากบ้านย่านบางบัวทองหลังหนึ่งซึ่งมีการ จัดงานปาร์ตี้ในห้องเฉพาะ ตั้งแต่เวลากลางวันจนกระทั่งเย็น เป็นประจำ!

นำร่างที่ไม่ได้สติใส่รถเก๋งและลากอย่างถูลู่ถูกังขึ้นลิฟต์ไปบนคอนโดมิเนียมแถวบุคคโลเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา

และปรากฏว่ากลางดึกได้มีคนพบเธอนอนเสียชีวิตกลายเป็นศพอยู่ตรงโซฟาชั้นล่างของคอนโดฯ นั้นเอง

การสอบสวนคดี ความตายผิดธรรมชาติ ของเธอ  จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถสรุปได้ว่า เสียชีวิตด้วยเหตุใด?

อย่างไรก็ตาม การคลี่คลายคดีต้องเริ่มจากที่ ผลการตรวจชันสูตรศพของแพทย์ซึ่งเชื่อถือได้ เป็นอันดับแรก!

ประเด็นสำคัญ เธอเพียงดื่มเหล้าเข้าไปทั้งด้วยความสมัครใจใน ฐานะพริตตี้ผู้ถูกจ้าง เพื่อมาสร้างความบันเทิงในงานนี้ รวมทั้งที่ ถูกคะยั้นคะยอ ให้ดื่มจนถึงขั้นเมามายไม่ได้สติ ซึ่งแพทย์บางคนบอกว่า ถ้าในร่างกายมีแอลกอฮอล์มากถึงระดับหนึ่ง ก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้เช่นกันจริงหรือไม่

หรือว่ามี ใคร ในงานนั้น ทั้งคนที่นำตัวเธอออกไป  หรือ คนหนึ่งคนใด แอบใส่ยากระตุ้นอารมณ์ที่เรียกกันว่า  ยาปลุกเซ็กซ์ ไม่ว่าจะเป็น GHB หรือประเภทใดผสมลงไปในเหล้าให้เธอดื่มโดยไม่รู้ตัว!

เป็นเหตุให้เธอทั้งเมาไม่ได้สติจากฤทธิ์เหล้า ตามมาด้วยอาการ หัวใจวาย เนื่องจาก สารกระตุ้นดังกล่าวที่อาจเกินขนาด ในเวลาต่อมา

ถ้าผลการตรวจชันสูตรปรากฏว่าเธอเสียชีวิตด้วยสารนั้น ก็สามารถดำเนินคดีมีการประทุษร้ายทำให้มีผู้ถึงแก่ความตายได้

ถือเป็นความผิดข้อหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา   ส่วนผู้กระทำผิดคือใคร มีคนอื่นร่วมวางแผนด้วยหรือไม่ ก็อยู่ที่พยานหลักฐานต่างๆ จะบ่งชี้หรือเชื่อมโยง

แต่ที่สำคัญก็คือ ยากระตุ้นอารมณ์เพศดังกล่าว ถือว่าเป็นอันตรายต่อหญิงสาวทุกคนอย่างยิ่ง!

ไม่ว่าจะเป็นหญิงที่ต้องทำงานกลางคืนหรือนักเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายโดยจ่าย ส่วย ให้ตำรวจสารพัดหน่วยซึ่งมีอยู่มากมาย หรือแม้กระทั่งหญิงสาวและไม่สาวทุกวัย ไม่ว่าจะ สวยหรือไม่สวย และไม่ได้มีนิสัยชอบเที่ยวผับบาร์แต่อย่างใด!

เพราะนอกจากจะเป็นเหตุให้นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลแปลกหน้าหรือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดไม่ว่ารูปแบบใดที่ คล้ายเกิดจากความสมัครใจของหญิงนั้นเองแล้ว!

หากถูกนำมาใส่ผสมในเครื่องดื่มไม่ว่าประเภทใด  มากเกินไป ก็อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้!

นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากความมึนเมาไม่ว่าจะด้วยฤทธิ์เหล้าหรือสารกระตุ้นดังกล่าว ปัจจุบันก็ยังมีทรชนบางคนวางแผนบันทึกภาพเป็นหลักฐานว่าไม่ได้เป็นการข่มขืนหรือฝืนใจอะไรไว้ และบอกกับหญิงผู้ตกเป็นเหยื่อนั้นว่าพร้อมนำคลิปออกเผยแพร่อีกด้วย!

ทำให้หญิงผู้ถูกกระทำทุกคนจะเกิดความอับอายและต้องกลายเป็น เบี้ยล่าง ของทรชนนั้นไปตลอดชีวิต เนื่องจากไม่สามารถแจ้งความร้องทุกข์ให้ตำรวจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้

ไม่ว่าจะด้วยปัญหา ความไม่พร้อม ของระบบงานสอบสวนประเทศไทย ที่มีพนักงานสอบสวนยิงตัวตายกัน สามเดือนสี่คน ในปัจจุบัน! 

นอกจากนั้น พนักงานสอบสวนทั้งหญิงและชายที่เหลือส่วนใหญ่ก็มีปัญหาเรื่องไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ของประชาชนผู้เสียหายจากการกระทำผิดอาญากันง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีประเภทใด!

แม้กระทั่งผู้เสียหายจากถูกล่วงละเมิดหลายคนจะยอมตากหน้า เอาถุงกระดาษคลุมหัวเห็นแต่ลูกกะตา ขึ้นไปแจ้งความบนสถานีไม่ว่าที่ใด หากไม่มีมูลนิธิหรือองค์กรใดเข้าช่วยให้เป็นข่าวออกสื่อแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผลอะไรแท้จริง!

เพราะสมมติฐานแรก ของตำรวจไทย เมื่อมีผู้เสียหายไปแจ้งความว่าถูกข่มขืนก็คือ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของหญิงนั้นจริงหรือไม่?

หรือแท้จริงสมัครใจ แต่พอตกลงตามที่เรียกร้องอะไรไม่ได้ ก็มาแจ้งว่าถูกข่มขืนหรือทำอนาจาร

บางคนก็บอกว่า ต้องการเงินเท่าใดให้เสนอมา?  จะได้ช่วยพูดคุยเจรจาให้ เป็นการไกล่เกลี่ยคดี ไม่ต้องดำเนินสอบสวน!

และหากยืนยันต้องการแจ้งความ คำถามที่จะตามมาอีกมากมายโดยเฉพาะจาก พนักงานสอบสวนชาย ในการสอบและบันทึกปากคำก็เช่น

มีบาดแผลถูกทำร้ายตรงไหน ได้ไปพบแพทย์ตรวจร่างกายหรือยัง ทำไมไปช้า เก็บหลักฐานคราบอสุจิของผู้ชายไว้หรือไม่? ขณะเกิดเหตุได้ร้องให้ใครช่วยบ้างไหม? ทำไมจึงขึ้นรถไปกับเขา? ได้พยายามต่อสู้หรือไม่ เหตุใดจึงไม่วิ่งหนีออกมา? ถ้าถูกขืนใจ ทำไมไปกับเขาอีกสองสามครั้ง? เวลาผ่านไปตั้งนาน ทำไมเพิ่งมาแจ้งความร้องทุกข์ ฯลฯ

ภาพของสถานีตำรวจพร้อมคำถามเหล่านี้  ทำให้หญิงสาวที่ถูกล่วงละเมิดส่วนใหญ่ไม่กล้าแจ้งความไปตามๆ กัน

ใครถูกเจ้านาย ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานข่มขืนหรือกระทำอนาจาร ก็มักเก็บความเจ็บช้ำใจไว้ตามลำพัง คิดว่าดีกว่าต้องไปนั่งเล่ารายละเอียดการถูกล่วงละเมิดให้ตำรวจทั้งชายและหญิงฟังซ้ำซากหลายครั้ง

ซึ่ง ชายทรชนทุกวัย ส่วนใหญ่ก็รู้จุดอ่อนของหญิงไทยในเรื่องการไม่กล้าแจ้งความกับตำรวจนี้ดี

จึงไม่มีใครกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีข้อหาข่มขืนหรือทำอนาจาร โดยเฉพาะเมื่อเป็นการกระทำต่อผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำกว่า หรือว่าผู้ถูกกระทำเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ใต้อำนาจหรืออิทธิพลของตน

ระบบงานสอบสวนความผิดทางเพศประเทศไทย  ต้องได้รับการปฏิรูป 

นอกจากต้องกำหนดให้ พนักงานสอบสวนหญิง มีหน้าที่บันทึกปากคำ โดยห้ามมิให้มีตำรวจชายเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใด โดยไม่มีข้อยกเว้นที่เป็นช่องว่างให้อ้างกันว่า เนื่องจากพนักงานสอบสวนหญิงมีไม่พอ  แต่ละคนวิ่งเต้นไปช่วยราชการหน้าห้องนายพลตำรวจผู้บังคับบัญชาต่างๆ กันหมด!

พนักงานสอบสวนชายจึงมักใช้วิธี พูดจาหลอกล่อให้ลงชื่อไว้ในสำนวนว่าผู้เสียหายไม่ต้องการพนักงานสอบสวนหญิง

รวมทั้งต้องไม่ใช้สถานีเป็นที่รับแจ้งความและดำเนินการสอบสวนอีกต่อไป                                              

ให้ใช้ ศาลากลางจังหวัด หรือ โรงพยาบาลประจำจังหวัด เป็นที่ตั้ง “สำนักงาน หรือ “ศูนย์สอบสวนคดีความผิดทางเพศ” แทน

กรุงเทพมหานครก็ให้ตั้งที่ศาลากว่าการกรุงเทพมหานคร

โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ บก.จังหวัด มีหน้าที่ออกคำสั่งจัดพนักงานสอบสวนหญิงมาเข้าเวรที่สำนักงานหรือศูนย์นั้นทุกวันในเวลาราชการ รับแจ้งความทุกเหตุที่เกิดในเขตรับผิดชอบทั้งกรุงเทพมหานคร และในพื้นที่จังหวัดทุกอำเภอ

การร้องทุกข์ หญิงผู้เสียหายต้องสามารถใช้วิธีโทรศัพท์แจ้งให้พนักงานสอบสวนหญิงเดินทางไปพบเพื่อสอบปากคำและดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานได้

ไม่ใช่ไปให้ปากคำกันครึ่งวันค่อนวันแล้วยังต้องนั่งรอให้ตำรวจชายเขียนบันทึกการแจ้งความให้ตำรวจชายทั้งสถานีรวมทั้งผู้สื่อข่าวที่เดินเตร่ไปมามองสำรวจรูปร่างหน้าตาของหญิงผู้เสียหายกันเช่นทุกวันนี้!

 ที่มา: ไทยโพสต์ คอลัมน์: เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: Monday, September 23, 2019

About The Author