ใบขับขี่ดิจิทัล ทำไมตำรวจผู้ใหญ่จึงยังชอบแบบโบราณ?
ใบขับขี่ดิจิทัล ทำไมตำรวจผู้ใหญ่จึงยังชอบแบบโบราณ?
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
กรณีกรมการขนส่งทางบกได้จัดทำใบขับขี่ดิจิทัลแบบสากลประกาศให้ประชาชนโหลดเข้าไปเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ สามารถใช้แสดงเป็นหลักฐานการติดต่อราชการต่างๆ แทนใบขับขี่แบบเดิมได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2562 เป็นต้นไปนั้น
กลับมีข้อโต้แย้งจากตำรวจผู้ใหญ่ว่า ใบขับขี่ที่ทันสมัยดังกล่าวยังไม่สามารถใช้กับตำรวจแทนใบขับขี่กระดาษหรือพลาสติก แบบโบราณ ได้ จนกว่าจะแก้ไขกฎหมายให้แล้วเสร็จ คาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าหกเดือน โดยอ้างว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 140 บัญญัติให้ตำรวจผู้ตรวจพบการกระทำผิดสามารถ เรียกเก็บใบขับขี่ หรือที่ประชาชนเรียกกันว่า ยึด ไว้ได้ แล้วออก ใบสั่ง ให้ผู้ขับรถใช้แทนชั่วคราวเป็นเวลา 7 วัน
เป็นการ จับใบขับขี่เป็นตัวประกัน เพื่อให้ผู้ทำผิดกฎหมายขวนขวายไปจ่ายค่าปรับใน อัตราที่ตำรวจผู้ใหญ่กำหนดไว้
ถ้าหากให้ใช้ใบขับขี่ดิจิทัลแสดงแทนได้ แล้วตำรวจผู้น้อยจะเรียกเก็บอะไร เพราะเก็บโทรศัพท์มือถือแทนไม่ได้
และหากออกใบสั่งโดยไม่ยึดใบขับขี่ ก็คงไม่มีใครเดินตามตำรวจไปจ่ายค่าปรับเพื่อขอรับใบขับขี่คืนกันเช่นปัจจุบันเป็นแน่
ถ้าเป็นพลเมืองดี อย่างดีก็แค่ยอมไปจ่ายเงินที่สถานีกรณีอยู่ใกล้ หรือทางไปรษณีย์กรณีอยู่ไกลคนละอำเภอหรือจังหวัด เช่นเดียวกับการออกใบสั่งติดไว้หน้ารถ หรือแม้กระทั่งกล้องจับการกระทำผิดต่างๆ ที่มี พลเมืองดีไปจ่ายค่าปรับเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น
ส่วนพลเมืองร้าย ผู้มีอำนาจราชการและพ่อค้าอิทธิพลรวมทั้งคนมีเส้นสาย หลายคนไม่เคยจ่ายค่าปรับ หรือมีวิธีการปรับในอัตราที่ต่างไปจากประชาชนทั่วไปราวฟ้ากับเหว
ปัญหาการไม่จ่ายค่าปรับดังกล่าว แม้หัวหน้า คสช. จะอำนวยความสะดวกให้ตำรวจ โดยใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 14/2560 เมื่อ 21 มี.ค.60 เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายจราจร โดยเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก กรณีโดนใบสั่งแล้วไม่ไปจ่ายค่าปรับ เจ้าพนักงานมีอำนาจไม่ออกหลักฐานการชำระภาษีประจำปีให้ ทำให้ในระยะแรกมีประชาชนไปจ่ายค่าปรับเพิ่มมากขึ้นระดับหนึ่ง
แต่หลังจากรู้ว่า การประสานข้อมูลระหว่างตำรวจกับกรมการขนส่งทางบกมีปัญหา ไม่สามารถเชื่อมโยงหลักฐานการกระทำผิดกันได้ รวมทั้งหลายกรณีกลายเป็นเรื่องที่เจ้าของรถถูก ปลอมทะเบียน เป็นคดีอาญาและภาระในการที่ต้องสืบสอบหาผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่ไปจ่ายค่าปรับ “ใบสั่งแปะ” หรือแม้กระทั่ง “ใบสั่งทางไปรษณีย์” เช่นเดิม
เงื่อนไขที่จะทำให้การปรับข้อหาจราจรได้ผลที่สุดจึงยังคงเป็น การเรียกเก็บใบขับขี่ ด้วยวิธีการ ตั้งด่าน โดยนำสิ่งกีดขวางมาวางบนทางหลวงและถนนหนทางต่างๆ
เพื่อให้ผู้ขับรถที่ถูกจับ เดินตามใบขับขี่ ไปจ่ายเงินสดที่สถานี หรือแม้กระทั่ง ตามโต๊ะ ใต้สุมทุมพุ่มไม้ ตำรวจเก็บเงินใส่กระป๋องหรือกระเป๋าใกล้ด่านตรวจนั้นๆ แล้วรับใบขับขี่คืนไป
วิธีนี้ทำให้ตำรวจไทยสามารถทำรายได้ตามเป้าที่เจ้านายกำหนดได้เป็นกอบเป็นกำ โดยได้รับส่วนแบ่งจากค่าปรับร้อยละ 20 ตามกฎหมาย และหากมีสายลับก็มีสินบนนำจับอีก 50 เปอร์เซ็นต์
เรียกว่า “ปรับมาก ได้มาก” แต่สำหรับตำรวจผู้น้อยเดือนละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตามที่มีการเพิ่มเติมกฎหมายจราจรให้มีรางวัลการจับและสินบนนำจับความผิดจราจรตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา
ตำแหน่ง สารวัตรจราจร งานลูกเสือทำหน้าที่โบกรถราเมืองใหญ่ในทุกสถานี รวมทั้งกองบังคับการตำรวจจราจร จึงเป็นที่หมายปองและวิ่งเต้นเพื่อแย่งกันเป็นของตำรวจผู้มีเส้นสายและอยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ยิ่งกว่า สารวัตรสอบสวน เจ้าพนักงานกระบวนการยุติธรรมในช่วงเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา
ปรับและรับเงินกันเพลินจนเป็นเหตุให้เกิดคดีอื้อฉาวที่กองบังคับการตำรวจจราจรในช่วงปี 2534 โดยมีผู้ทำ สายลับปลอม เบิกสินบนค่าปรับ 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เรียกกันว่า ส่วยควันดำ ได้เงินไปกว่า 30 ล้าน ตำรวจผู้ใหญ่ผู้เกี่ยวข้องในยุคนั้นร่ำรวยไปตามๆ กัน
ส่วนแบ่งจากเปอร์เซ็นต์การปรับนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตำรวจผู้น้อยแทบทุกสถานี ถูกสั่งให้ทำยอดทำเป้าในการจับและ ยึดใบขับขี่ประชาชน
จนแทบจะกลายเป็นสงครามบนถนนระหว่างกันอยู่ทุกวันนี้!
เนื่องจากมีผู้ได้รับความเดือดร้อนมากมายจากการถูกจับยึดใบขับขี่และ แจ้งข้อหาอย่างไม่ปรานี ทั้งที่หลายกรณีประชาชนไม่มีเจตนาทำผิด ไม่ชัดเจน หรือเป็นความผิดเล็กน้อยที่ตำรวจสามารถใช้อำนาจว่ากล่าวตักเตือนตามกฎหมายได้
แม้กระทั่งหลายกรณีมีข้อต่อสู้เรื่องข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กระทำผิด หรือควรถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมกับพฤติการณ์ละเมิดกฎหมายและฐานะของบุคคลเพื่อความยุติธรรม
แต่ประเทศไทยไม่มีระบบงานสอบสวนที่เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนเช่นนั้นได้
ทำให้ประชาชนแทบทุกคนต้องยอมจำนน แก้ปัญหาด้วยวิธีจ่ายค่าปรับเพื่อให้จบๆ ไป ด้วยความคับแค้นใจ
เช่นกรณี ลุงอาดูร ควันไม่ดำ ผู้ถูกตำรวจจับที่จังหวัดนครสวรรค์ต้องจ่ายค่าปรับทั้งน้ำตาหาว่าควันดำไปหนึ่งพันบาท ลูกหลานต้องอดข้าวอดน้ำขับรถกลับโคราชด้วยความแค้นใจไปเมื่อสามสี่เดือนที่ผ่านมา
ใบขับขี่ดิจิทัลนั้น อันที่จริงก็คือใบขับขี่ประเภทหนึ่ง ซึ่ง พ.ร.บ.รถยนต์ไม่ได้กำหนดว่า จะต้องมีแต่รูปแบบที่เป็นกระดาษหรือพลาสติกเท่านั้น
และการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ กับกรณีมี แต่ไม่ได้นำติดตัวไปแสดงให้เจ้าพนักงานดูได้ เป็นคนละเรื่องกัน
การไม่มีใบขับขี่ คือ การที่ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐ เป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น มีโทษปรับหรือจำคุกถึงหนึ่งเดือน ตามมาตรา 62
ส่วนมีใบขับขี่ แต่ไม่ได้นำติดตัวมา ผิดตามมาตรา 66 มี โทษปรับสถานเดียวไม่เกินหนึ่งพันบาท
การแสดงใบขับขี่ดิจิทัลต่อเจ้าพนักงาน ถือเป็นหลักฐานการมีใบขับขี่แล้ว แต่ปัญหาคือถือว่าเป็นการนำติดตัวและแสดงให้เจ้าพนักงานดูแล้วหรือไม่
ในอันที่จริง แม้แต่การแสดงใบขับขี่แบบโบราณ ตำรวจเจ้าพนักงานก็ไม่จำเป็นต้องยึดไว้เสมอไป เพราะกฎหมายจราจรมาตรา 140 วรรคท้าย บอกว่า เจ้าพนักงานจะเรียกเก็บไว้หรือไม่ก็ได้
แต่ปัญหาคือ ตำรวจผู้ใหญ่ยังต้องการให้ตำรวจผู้น้อย เรียกตรวจและเก็บใบขับขี่ประชาชนไว้ และ ปรับขั้นต่ำในอัตราเดียวกัน ทั้งประเทศ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด?
รวมทั้งไม่เปิดโอกาสให้ “พนักงานสอบสวน” มีอำนาจและดุลยพินิจในการ “เปรียบเทียบปรับ” อย่างเหมาะสมกับพฤติการณ์การกระทำผิดและฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อความยุติธรรมต่อประชาชนแต่อย่างใด?
และไม่มีประเทศใดในโลกที่เจ้าพนักงานผู้จับ โดยเฉพาะตำรวจผู้ใหญ่ระดับต่างๆ “มีส่วนแบ่งในทางพฤตินัย” จากเงินค่าปรับแบบ “ปรับมาก ได้มาก” เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมีประโยชน์ทับซ้อนเหมือนประเทศไทย
ทุกประเทศล้วนแต่ให้ “ศาล” หรืออย่างน้อย “พนักงานสอบสวน” เป็นผู้มีอำนาจเปรียบเทียบและกำหนดค่าปรับให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำ ความสำนึกผิด รวมทั้งสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่และบุคคลด้วยกันทั้งสิ้น.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ คอลัมน์: เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: Monday, January 21, 2019