หมายเรียกและหมายจับ ออกกันง่ายๆ ผู้คนเดือดร้อนเสียหาย ไร้คนรับผิดชอบ!
หมายเรียก และหมายจับ ออกกันง่ายๆ ผู้คนเดือดร้อนเสียหาย ไร้คนรับผิดชอบ!
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มี สาเหตุสำคัญจากปัญหาตำรวจ หรือระบบงานรักษากฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ สร้างความเสียหายให้กับชาติและประชาชนอย่างเหลือคณานับในครั้งนี้แล้ว
สังคมไทยก็ยังมีปัญหาความชั่วร้ายอีกหลายเรื่องที่รอการสะสาง หรือ ปฏิรูปโครงสร้างสังคมครั้งใหญ่หลังพายุร้ายได้ผ่านไป คงในเวลาอีกไม่นาน!
ระหว่างนี้เรื่องสำคัญที่สุดซึ่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาจเพิ่งตระหนักและนึกขึ้นได้หลัง ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาถึง 7 ปี!
ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติในการแก้ปัญหาก็คือ “การทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ”
ถือเป็น “มะเร็งร้าย” ที่กำลังเติบใหญ่และกลืนกินร่างกายประเทศไทย “ใกล้สิ้นใจ” เข้าไปทุกที
ส่วน วิธีแก้ปัญหาของนายกฯ นอกจากการปลูกฝังอุดมการณ์ คุณธรรมจริยธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชนสารพัดแล้ว?
เรื่องการสืบจับ “อาชญากรมีเครื่องแบบ” ตัวใหญ่ๆ มารับโทษตามกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้น้อย ก็ยังไม่ค่อยเห็นการพูดหรือดำเนินการอะไรให้เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด?
เช่น กรณี ตำรวจผู้ใหญ่ หลายระดับทั้งที่ยังรับราชการอยู่และเพิ่งเกษียณไป สุมหัว กับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ “สนช.” สี่ห้าคน ช่วยกัน ล้มคดีบอส
แบ่งหน้าที่กันทำต่างกรรมต่างวาระในลักษณะ ซ่องโจร!
ปัจจุบันทุกคนก็ยัง “ลอยหน้าลอยนวล”
ไม่มีใครถูกดำเนินคดีอาญาหรือว่าถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหรือลงโทษทัณฑ์อะไรแม้แต่คนเดียว!
ส่วนตำรวจผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ป้องกันอาชญากรรมปราบบ่อนการพนันและสถานบันเทิงผิดกฎหมาย แต่ ไม่ทำหน้าที่ จนเป็นเหตุให้มีเชื้อโควิดแพร่ระบาดรอบสองและจนกระทั่งรอบสาม
การตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจหลายระดับตั้งแต่ ผบช.ไปจนถึงจ่านายสิบทั้งความผิดวินัยร้ายแรงและไม่ร้ายแรงกว่า 250 คน!
แต่จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ยินว่ามีใครถูกดำเนินคดีอาญาหรือลงโทษทางวินัยอะไรแม้แต่คนเดียวเช่นกัน!
อีกเรื่องหนึ่งที่ซึ่งมีความสำคัญและสร้างปัญหาร้ายแรงอย่างยิ่งก็คือ กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ปัจจุบันกำลังเผชิญกับ วิกฤติศรัทธา จากประชาชนส่วนใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อขั้นตอนชั้นต้นคือ การสอบสวน
เนื่องจากสังคมไทยได้ปล่อยให้งานสอบสวนหรือการรวบรวมพยานหลักฐานความผิดตามกฎหมายอาญาถูกผูกขาดโดยตำรวจแห่งชาติแต่เพียงหน่วยเดียว ผิดไปจากเจตนาของ ป.วิ อาญา นับแต่ยุคเผด็จการในปี พ.ศ.2506 เป็นต้นมากระทั่งปัจจุบัน
ซ้ำยังขาดการตรวจสอบจากภายนอกระหว่างสอบสวนตามหลักสากลอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าโดยฝ่ายปกครองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หรือแม้กระทั่งพนักงานอัยการผู้มีหน้าที่แสดงพยานหลักฐานในการฟ้องคดีต่อศาล!
เป็นเหตุให้ตำรวจไทยจะสอบสวน “รวบรวม” หรือ “ไม่รวบรวม” หลักฐานทั้งวัตถุพยานและบุคคลใดกันอย่างไรก็ได้
“การออกหมายเรียกประชาชนเป็นผู้ต้องหา” ก็กระทำกันแสนง่าย!
แค่มีใครอ้างว่าได้รับความเสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ว่าคนนั้นคนนี้มีพฤติการณ์กระทำความผิดอาญาไม่ว่ามาตราใด
ถ้าเป็นคดีมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี
ตำรวจทุกคนที่เป็นพนักงานสอบสวนแม้จะมียศแค่ร้อยตำรวจตรี เพิ่งเป็นตำรวจใหม่ๆ ได้สองสามวัน ก็มีอำนาจในการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทุกคนให้มาพบได้ทันที
โดยที่หัวหน้าพนักงานสอบสวนไม่ว่าจะเป็นระดับสถานี จังหวัด หรือสูงขึ้นไประดับใดผู้ใช้อำนาจสั่งการโขมงโฉงเฉงไม่จำเป็นต้องลงนามให้ปรากฏหลักฐานความรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น!
นอกจากนั้น ในหมายเรียกผู้ต้องหา ก็ไม่จำเป็นต้องระบุวันเวลา สถานที่ และพฤติการณ์การกระทำผิดให้ผู้ถูกออกหมายเข้าใจได้ว่า ถูกใครกล่าวหาว่าไปกระทำผิดในวันเวลาและสถานที่ใด มีพฤติการณ์การกระทำอย่างไร?
ผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนเมื่อได้รับหมาย ได้แต่ “อ่านกันด้วยความงุนงง”
ไม่รู้จะเตรียมพยานหลักฐานอะไรเพื่อไปแสดงต่อพนักงานสอบสวนและจะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้พิมพ์มือบันทึกประวัติอาชญากรรม!
เช่นปัจจุบันผู้จัดการและผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์เนชั่นหลายคน ถูกพนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหาด้วยข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
เหตุจากแค่รายงานข่าวเล่าสนุกเรื่องรัฐมนตรีคนหนึ่งไปเที่ยว สถานบันเทิงเถื่อน ย่านทองหล่อจนติดไวรัสโควิดกลับมา ซึ่งถูกหาว่าเป็นเท็จ
เนื่องจากความจริง ไม่ได้ไปเที่ยวหรือเกี่ยวข้องอะไรแม้แต่น้อย แต่เพราะข้าราชการหน้าห้องและตำรวจติดตามสี่ห้าคนไปเที่ยวกันตามลำพังแล้วนำเชื้อมาแพร่ให้เจ้านายต่างหาก!
การพูดดังกล่าวถูกสรุปว่า เป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเมื่อมีการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย จึงถือเป็นการนำความเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกถึงห้าปี!
หากมีหมายเรียกไปสองครั้งแล้ว ทั้งหญิงชายใครยัง ทำมึน! อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่มา
ตำรวจก็สามารถนำไปเป็นหลักฐาน รายงานมั่วต่อศาล ว่า ผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี ขอให้ออกหมายจับแทนได้ทันที
ยิ่งถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนยากจน ไม่ใช่สื่อใหญ่หรือผู้มีอำนาจอิทธิพลอะไร ตำรวจจะไป เสนอศาลให้ออกหมายจับ เลยก็ยังได้ ไม่ต้องออกหมายเรียกก่อนสองครั้งให้เสียเวลาอะไร
ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อตำรวจไปขอหมาย ศาลก็มักจะออกให้ เนื่องจากถือว่า การออกหมายจับไม่ได้หมายความว่าผู้ต้องหานั้นเป็นผู้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
และเมื่อ ตำรวจทั้งแต่งและไม่แต่งเครื่องแบบ ตามจับไล่ตะครุบตัวบุคคลตามหมายมาได้
หลายคดี “พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ” ก็จะถูกเจ้านายซึ่งเป็น “พนักงานสอบสวนผู้ไม่รับผิดชอบ” “สั่ง” ให้คัดค้านการประกันตัวต่อศาล ด้วยการไปรายงานเท็จมั่วๆ ว่า ผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรืออาจมีการไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
หรือแม้กระทั่ง อาจมีการกระทำความผิดแบบเดิมอีก!
ซึ่งปัจจุบันถูก นักกฎหมายที่มีความคิดสัปดนหลายคน ตีความแบบลุแก่อำนาจว่าเป็น การก่อเหตุอันตรายประการอื่น เข้าเงื่อนไขในมาตรา 108/1 (3) ตาม ป.วิ อาญา ที่สามารถนำตัวบุคคลนั้นไปคุมขังในเรือนจำ โดยที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างต่อสู้คดี โดยให้ไปสู้กับเชื้อไวรัสโควิดในเรือนจำแทน
ฉะนั้น การที่บุคคลใดถูกศาลออกหมายจับ และไม่ได้รับการประกันตัว ก็เพราะตำรวจได้รายงานคัดค้านเอาไว้
ไม่ใช่ศาลสั่งไม่ให้ตามลำพังโดยไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด
ต่อคดีที่ตำรวจมีหมายเรียกใครเป็นผู้ต้องหา หรือว่าเสนอศาลออกหมายจับ ทุกคนล้วนได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส และหลายคนก็ “ถูกขังล่วงหน้า” โดยที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด
และสุดท้าย แม้อัยการจะได้มี คำสั่งไม่ฟ้อง หรือ ศาลพิพากษายกฟ้อง
ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนเสียหายของบุคคลนั้นกันแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ระบบการออกหมายเรียกผู้ต้องหาและหมายจับของไทย ต้องได้รับการปฏิรูปให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
โดยต้องแก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ อาญา ให้ผ่านการตรวจพยานหลักฐานจากพนักงานอัยการก่อนทุกกรณี
โดยอัยการผู้รับผิดชอบก็ต้องมีความมั่นใจว่า เมื่อออกหมายเรียกใครเป็นผู้ต้องหาหรือว่าจับตัวใครตามหมายมาได้แล้ว
จะสามารถสั่งฟ้องพิสูจน์ความผิดให้ศาลลงโทษได้อย่างแน่นอนเท่านั้น
เป็นการยกระดับ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยให้มีมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับประเทศที่เจริญทั่วโลก.
ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ คอลัมน์ เสียงประชาชน ปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2564