แก๊งลิขสิทธิ์ใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือรีดเงินประชาชนได้ เพราะหัวหน้าตำรวจไม่รู้กฎหมาย! – พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร

ยุติธรรมวิวัฒน์

ปัญหาแก๊งคนร้ายเดินสายไปแจ้งความกับตำรวจหน่วยเฉพาะทางและสถานีต่างๆ ทั่วประเทศด้วยการ ขอลงบันทึกประจำวัน ว่า เจ้าของบริษัทห้างร้านและผู้ค้าสารพัดที่ตรวจพบละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของจดทะเบียนไว้

ตนได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้มาร้องทุกข์ดำเนินคดี   และขอตำรวจช่วยไปจับตัวผู้ละเมิดมาเจรจากันที่หน่วยตำรวจหรือสถานี

รวมทั้ง อำนวยความสะดวก จัดให้มีการเจรจาต่อรองเรื่องค่าเสียหาย หากเสนอแล้วได้รับการสนองเป็นที่พอใจ

ก็จะได้ยอมความ ถอนคำร้องทุกข์ไป

เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมาช้านานหลังใช้กฎหมายลิขสิทธิ์แต่ปี 2537  ระยะหนึ่งเป็นต้นมา

กลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นตัวแทนใช้กฎหมายฉบับนี้รีดทรัพย์ประชาชน ทั้งผู้ละเมิดและแม้กระทั่งไม่ละเมิด ได้  ด้วยการอาศัยตำรวจผู้รักษากฎหมายเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ตามข้อเท็จจริง การละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า ที่ตำรวจมีอำนาจจับใครมาดำเนินคดีได้โดยไม่มีหมายศาลแต่อย่างใด

ตามกฎหมาย เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ ก็จะต้องเริ่มจากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอันเป็นองค์ประกอบของการกระทำผิดให้ได้ความแน่ชัดก่อน

แม้แต่การจะ ออกหมายเรียก ผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใดมาดำเนินคดี ก็ยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาให้ต้องพิจารณาอีกมากมาย

เริ่มตั้งแต่บุคคลนั้นได้รับมอบอำนาจจริงหรือไม่?  เป็นเอกสารตัวจริง หรือ หากเป็นฉบับถ่ายสำเนาก็ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ 

มอบอำนาจกันแต่เมื่อใด ให้ใช้เพื่อการละเมิดกรณีนี้ หรือมีการมอบไว้ในคดีอื่นนานมาแล้ว

ผลิตภัณฑ์นั้นมีลิขสิทธิ์ได้จดทะเบียนไว้จริงหรือไม่  จดที่ใด เมื่อใด รูปลักษณ์ทั้งหมดตรงกันหรือไม่ บุคคลใดเป็นผู้ละเมิด นายจ้าง รวมทั้งลูกจ้างผู้รับจ้าง ใครรู้เรื่องอย่างแน่ชัดบ้าง

ที่สำคัญก็คือ มี เจตนาในการกระทำ หรือไม่?

เนื่องจากหลักกฎหมายอาญาทั่วไปบัญญัติว่า  บุคคลต้องรับผิดต่อเมื่อกระทำโดยเจตนาเท่านั้น  

เว้นแต่การกระทำโดยประมาท หรือกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่เจตนา เช่น ความผิดลหุโทษตามกฎหมายอาญา ความผิดข้อหาจราจร รวมไปถึงกฎหมายเกี่ยวกับภาษีหลายกรณี

ปัจจุบันสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งที่วางขายในท้องตลาดรวม ทั้งที่ปรากฏในโลกยุคออนไลน์ปัจจุบันมีมากมายเหลือคณานับ

ซึ่งไม่มีประชาชนคนใดรู้อย่างแท้จริงว่าสินค้า ผลิตภัณฑ์ ภาพ หรืองานใดจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้บ้าง ที่ใด?

เมื่อบุคคลไม่ได้เจตนา ก็ถือไม่ได้ว่ากระทำผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์

เว้นแต่มีพฤติการณ์ที่ผู้ร้องทุกข์พิสูจน์ได้ว่า ควรรู้ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

หากผู้แจ้งแสดงพยานหลักฐานเช่นนั้นไม่ได้ ก็ยังไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดแต่อย่างใด

แม้แต่การ ออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหา ก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ปัญหาสำคัญเกิดจากส่วนแบ่งรายได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นเหตุให้ตำรวจหลายคนขมีขมันในการลงบันทึกประจำวันรับแจ้งความคดีลิขสิทธิ์

และสั่งให้ตำรวจรีบเดินตามตัวแทนไปจับกุมและควบคุมตัวมาดำเนินคดีที่สถานี

โดยมีเหตุผลอ้างว่า ถ้าไม่ไปจับกุมตามที่ตัวแทนแจ้งความ ก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมายเข้าข่ายผิดอาญามาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

เลยต้องจำใจไปจับตัวผู้ละเมิดมาดำเนินคดี

อำนวยความสะดวก ให้มีการเจรจาต่อรองกันที่สถานีตกลงกัน

พร้อมบอกกับ ผู้ถูกจับ ว่า หากตกลงกันไม่ได้ ก็จำเป็นต้องควบคุมตัวไว้ในห้องขัง หรือหากจะใช้เงินประกันก็ต้องห้าหมื่นบาทขึ้นไป

ทำให้ส่วนใหญ่มักตกลงกันได้ เนื่องจากผู้ถูกจับต่อรองขอจ่ายให้เท่านั้นเท่านี้เท่าที่มีหรือพอหยิบยืมจากบุคคลต่างๆ มาแก้ปัญหา

เพื่อจะไม่ต้องถูกคุมขังหรือใช้เงินสดห้าหมื่นบาทเป็นทรัพย์ประกัน

หลังจากนั้น พนักงานสอบสวนก็จะลงบันทึกประจำวันไว้ อีกข้อหนึ่ง ต่อจากข้อแรกว่า

ตัวแทนตกลงกับผู้ต้องหาได้ มีการชดใช้กันจนเป็นที่พอใจ ผู้เสียหายไม่ติดใจให้มีการดำเนินคดี และจัดให้มีการถอนคำร้องทุกข์ยอมความกันแล้ว

คดีอาญาเป็นอันยุติไป โดยไม่ต้องสรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง

เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ได้มีการ รับคำร้องทุกข์แบบมีเลขคดีอาญา เข้าสารบบตามกฎหมายแต่อย่างใด

ใบมอบอำนาจแม้เป็นตัวจริง ก็ไม่ต้องเก็บเป็นหลักฐานประกอบสำนวนไว้ สามารถนำไปใช้ในแจ้งความร้องทุกข์ในกรณีที่ตรวจพบสถานีอื่นๆ ต่อไป

 ปัญหาสำคัญเกิดจากตำรวจผู้ใหญ่ ที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย หลายคนยังเข้าใจผิดว่า ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ถูกกล่าวหามาควบคุมตัวไว้ได้นั่นเอง!

ละเมิดลิขสิทธิ์

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์  คอลัมน์ เสียงประชาชนปฏิรูปตำรวจ: ฉบับวันที่ 11 พ.ย. 2562

 

About The Author