โดนจับข้อหาขับรถชนคนตายทั้งที่ขับไม่เป็น-อยู่คนละจังหวัดแต่ตร.ไม่ฟัง ขายที่-กู้เงินสู้คดี4ปีกว่า3แสนวอนให้ปล่อยตัวอย่าดึงเรื่องไว้
ขอบคุณภาพข่าวจากข่าวสด
วันที่ 20 ม.ค.62 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นายอุทัย ศรีมา อายุ 53 ปี ชาวบ้านดงยาง หมู่ 12 ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีขับรถชนคนตาย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2548 ในพื้นที่ สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง
นายอุทัย เปิดเผยว่า ชีวิตมีความทุกข์ยากมาก ต้องตกเป็นผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย และหลบหนีโดยไม่หยุดให้การช่วยเหลือหรือแจ้งพนักงานทราบในทันที เหตุเกิดบริเวณเลียบคลองชลประทาน บ้านหนองละลอก ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยตำรวจสภ.บ้านค่าย จ.ระยอง มีหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหา เมื่อปี 2548
“ตอนนั้นผมทำงานก่อสร้างที่เขตมีนบุรี มีนายจ้างและเพื่อนคนงานไปเป็นพยานให้ อีกทั้งผมขับรถไม่เป็น เมื่อไปพบตำรวจที่ออกหมายเรียก ก็ได้รับแจ้งว่า อาจออกหมายเรียกผิดตัว เพราะมีคนชื่ออุทัย ศรีมา ทั่วประเทศถึง 4 คน และ 1 ใน 4 มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกด้วย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2560 ได้กลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านในอ.เขื่องใน ก็ถูกตำรวจ สภ.เขื่องใน มาพบที่บ้านพร้อมแสดงหมายจับในคดี แล้วส่งตัวไปให้ตำรวจ สภ.บ้านค่าย รับตัวไปดำเนินคดี ทำให้ต้องนำที่ดินที่เช่ามาจากเพื่อนบ้านไปใช้วางประกันตัว ในราคา 120,000 บาท ถึงได้รับการประกันตัว”
นายอุทัย กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ขอประกันตัวออกมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว ต้องเดินทางจากอุบลราชธานี ไปรายงานตัวกับตำรวจ และสำนักงานอัยการระยองทุกเดือน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปกลับครั้งละ 5-6 พันบาท ต้องขายที่ดิน และยืมเงินจากกองทุนต่างๆ ทำให้ครอบครัวเป็นหนี้สินจากการต่อสู้คดีมากว่า 3 แสนบาท
“พยานที่เป็นคนเจ็บที่อยู่ในที่เกิดเหตุ รวมทั้งชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งมาชี้ตัวก็ระบุว่า ผมไม่ใช่คนขับ แต่ตำรวจยังแจ้งข้อหาและส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณา อัยการก็ได้ตีสำนวนกลับให้สอบสวนเพิ่ม เนื่องจากหลักฐานอ่อนไม่พอฟ้อง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ทำอะไร บอกว่าอยู่ระหว่างส่งสำนวนให้บก.ภ.จว.ระยองพิจารณา ซึ่งทำให้เดือนร้อนมากต้องเสียค่าใช้จ่ายไปรายงานตัวทุกเดือน”
นายอุทัย กล่าวด้วยว่า ผมอยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงยุติธรรม เข้ามาดูแลสำนวนการสอบสวนด้วย หากผมไม่ผิดก็ควรจะได้รับการปล่อยตัว ไม่ใช่ยังดึงเรื่องไว้โดยไม่ทำอะไร ซึ่งล่าสุดผมได้ร้องทุกข์ไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จึงขอมาเปิดเผยเรื่องราวกับสื่อมวลชน เพราะทนไม่ไหวกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป และเสียเวลาในการประกอบอาชีพที่ผ่านมาด้วย