อัยการสระบุรีตรวจที่เกิดเหตุบันทึกพยานหลักฐาน ‘โลกทัศน์ใหม่อัยการไทย’ ทุกจังหวัดทำได้ใน’คดีสำคัญ’
อัยการสระบุรีตรวจที่เกิดเหตุบันทึกพยานหลักฐาน“โลกทัศน์ใหม่อัยการไทย”ทุกจังหวัดทำได้ใน“คดีสำคัญ”
พันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร
สถานการณ์ทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความยุติธรรมของประเทศไทยในวันนี้
คนที่บอกว่าเรายังดีกว่าอีกหลายประเทศมากมาย ก็ล้วนแต่เป็น คนส่วนน้อยที่ได้เปรียบในสังคมแทบทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล “นายพลตำรวจและทหารที่ทุจริตฉ้อฉล” รวมทั้งคนร่ำรวยหรือมีอำนาจในระบบราชการ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ยากจน โดยเฉพาะหนุ่มสาวและเด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่างรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาพสังคมไทยที่ “ไร้อนาคต”
ซ้ำยังถูกผู้มีอำนาจฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงใหญ่เอาไว้
ไม่ยอมปรับตัวหรือปฏิรูปประเทศอะไรให้เกิดประสิทธิภาพและความยุติธรรมสอดคล้องกับสังคมโลกที่เจริญก้าวหน้า ผู้คนโหยหา “สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค” รวมทั้ง “อำนาจการปกครองตนเอง” มากขึ้นทุกวัน
ความขัดแย้งและความคุกรุ่นรุนแรงในจิตใจจึงแฝงเร้นอยู่ทั่วไป
โดยส่วนหนึ่งได้แสดงออกด้วยการรวมตัวชุมนุมของหนุ่มสาววัยรุ่นที่เป็นคนยากจนตามท้องถนน รวมทั้งผ่านสื่อออนไลน์ทั้งถูกและผิดกฎหมายในสารพัดรูปแบบ
สะสมพลัง รอวันปะทุ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องไทยอีกมากน้อยเท่าใด?
เรื่องหนึ่งซึ่งคนมีอำนาจส่วนใหญ่ในสังคมไทยมักมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหาสำหรับตนเองและครอบครัวที่ต้องแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรก็คือ ความยุติธรรมทางอาญา
ปัจจุบันประชาชนคนยากจนหรือผู้คนในประเทศไทยที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ได้ถูกตำรวจออก “หมายเรียกเป็นผู้ต้องหา” หรือ “ศาลออกหมายจับ” กันแสนง่ายด้วยข้อหาสารพัดทั้งหญิงชายถูกตำรวจไล่ตะครุบตัวกันตามถนนหนทางอย่างไม่รู้ตัวมากมาย!
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะได้กระทำผิดจริงตามที่มีผู้กล่าวหามีหลักฐานที่ชัดเจนแน่นหนาสามารถแสดงต่อศาลให้พิพากษาลงโทษได้หรือไม่ก็ตาม?
อัยการไทยส่วนใหญ่ เมื่อได้รับสำนวนการสอบสวนจากตำรวจก็มักจะ สั่งฟ้อง ตามน้ำ ตามแบบแผนที่เคยปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นหลัก!
เนื่องจากถือว่า ในชั้นนี้ไม่ใช่หน้าที่ในการค้นหาหรือพิสูจน์ความจริงอะไรในชั้นอัยการ?
การสั่งไม่ฟ้องกลับกลายเป็นเรื่องที่ต้องคิดมากและตัดสินใจยากกว่าการสั่งฟ้อง!
เนื่องจาก ป.วิ อาญา บัญญัติว่าต้องส่งสำนวนให้ ผบ.ตร พิจารณาว่าจะแย้งหรือไม่สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร
และส่วนภูมิภาค ซึ่งอัยการเคยเสนอให้ผู้ว่าฯ ตรวจสอบและอธิบายกันง่ายๆ ในจังหวัดถือปฏิบัติกันมาเกือบร้อยปี
ก็ถูก คำสั่งเผด็จการ คสช.ที่ 115/57 แก้ไขในเวลาชั่วข้ามคืนให้เป็นอำนาจของกองบัญชาการตำรวจภาค ซึ่งรัฐจัดตั้งขึ้นมากมายโดยไม่จำเป็น
และ ผบช.ก็ จ้องจะแย้ง โดยหวัง สร้างสถิติผลงาน การเสนออัยการสูงสุดวินิจฉัยให้มากกว่าการปฏิบัติของผู้ว่าราชการจังหวัด
ถือเป็นความคิดที่สุดวิปริต!
ซ้ำเมื่อบางคดีแย้งไม่ได้ ก็ยังพยายาม ตะแบง เสนอให้อสส. สั่งสอบเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีอยู่ใน ป.วิ อาญา มาตราใด ให้มีอำนาจเสนอบ้าๆ บอๆ เช่นนั้นกันแต่อย่างใด!
ปัจจุบันผู้ถูกดำเนินคดีอาญาประเทศไทย แม้ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอในการฟ้องต่อศาลให้พิพากษาลงโทษได้ จึงไม่จบลงง่ายๆ ในชั้นการสอบสวน!
และอาจกล่าวได้ว่า กว่าร้อยละ 95 จะถูกอัยการสั่งฟ้อง เนื่องจากไม่ต้องการให้ตำรวจภาคทำความเห็นแย้งเสนอให้ อสส.พิจารณาดังที่กล่าวมา
ปัญหาคือ เหตุใดในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับความผิดอาญา จึงไม่ได้กระทำให้ “สิ้นกระแสความ” ด้วยความรวดเร็วเพื่อให้เกิดความยุติธรรมเสียในชั้นสอบสวนทั้งของตำรวจและอัยการ?
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ได้มีการบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาขึ้นตามหลักคิดของกระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ในปี 2478
มี มาตรา 227 เป็นหลักให้ศาลยึดถือในการพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยว่า
“ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย”
เป็น “หมุดหมาย” ที่สังคมปักไว้ ให้ศาลทุกชั้นยึดถือกันในการพิพากษาลงโทษจำเลยทุกคนในทุกคดี
แต่ปัญหาใหญ่ของกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยก็คือเมื่ออัยการอ่าน การสอบสวนส่วนใหญ่จบแล้ว ก็ไม่มั่นใจว่า ผู้ต้องหาได้กระทำความผิดตามที่มีการกล่าวหาหรือไม่?
หรือแม้แต่การกระทำผิดอาญาได้เกิดขึ้นจริง!
เช่น คดีลุงพล มีใครยืนยันได้หรือไม่ว่า ความตายของน้องชมพู่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญา น้องไม่สามารถเดินพลัดขึ้นไปเองจนเสียชีวิตบนภูหินเหล็กไฟนั้นได้อย่างแน่แท้
แต่อัยการก็ได้สั่งฟ้องลุงพลต่อศาลในคดีนี้!
โดยไม่ได้มีการอธิบายให้ผู้คนส่วนใหญ่ได้ทราบและเข้าใจว่า การสอบสวนมีพยานหลักฐานอะไรยืนยันการกระทำผิดของลุงพลตามที่มีการกล่าวหาว่าเป็นผู้ฆ่า! และมีเหตุจูงใจเพื่ออะไร? สมเหตุสมผลวิญญูชนรับฟังได้หรือไม่?
การ ได้เห็นที่เกิดเหตุ จึงนับว่ามีความสำคัญในการสั่งคดี ฟ้อง หรือ ไม่ฟ้อง ของอัยการเป็นอย่างมาก
สอดคล้องกับคติไทยโบราณ สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น
โดยอัยการทั่วโลก แม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้าน อัยการก็ล้วนมีอำนาจเข้าตรวจที่เกิดเหตุและสั่งคดีเมื่อมีการกระทำอาญาสำคัญเกิดขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น
ปัญหาอัยการสั่งฟ้องแล้วศาลพิพากษายกฟ้องในทุกประเทศจึงเกิดขึ้นน้อยมาก
ต่างไปจากอัยการไทย ที่ศาลยกฟ้องประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ สำหรับคดีที่จำเลยปฏิเสธ สร้างความเดือดร้อนทั้งต่อผู้ต้องหาและผู้เสียหายเจ็บช้ำน้ำใจกันมากมาย เหลือคณานับ!
ฉะนั้น การที่ นางจตุพร อาจคงหาญ อัยการจังหวัดสระบุรี และคณะ ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุคดีพ่อเลี้ยงฆ่าลูกเลี้ยงในอำเภอหนองแค โดยนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมแนะนำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
จึงถือได้ว่าเป็น ความกล้าหาญ และ มิติใหม่ ของอัยการไทยที่สามารถทำได้ในลักษณะของ “ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการค้นหาความจริง” เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่าย
โดยไม่จำเป็นต้องรอการแก้ไข ป.วิ อาญา ที่ให้อัยการมีอำนาจ “ตรวจสอบการสอบสวนคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียน” ซึ่งค้างคาอยู่ในสภา จนกระทั่งป่านนี้แต่อย่างใด?
และยิ่งถ้า อัยการสูงสุด หรือแม้แต่ อธิบดีอัยการผู้รักความยุติธรรมทุกภาค จะออกหนังสือเวียนแจ้งให้อัยการจังหวัดในสังกัดถือเป็นแนวทางปฏิบัติเช่นเดียวกับอัยการจังหวัดสระบุรี
แทนการปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยเพียง จินตนาการ ผ่านการอ่านสำนวน หรือแม้กระทั่ง นิยายสอบสวน แล้ว สั่งคดีฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี เช่นที่ผ่านมา
ก็จะเป็นการช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนจากระบบงานสอบสวนที่มีปัญหา รวมทั้งเป็นการพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ล้าหลังของชาติได้อย่างมาก.