ปัญหาขับขี่รถบนทางเท้าและการบังคับใช้กฎหมายของกทม.
ปัญหาสำคัญของทุกรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารยึดอำนาจก็คือ ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบหรือประเมินผลการทำงานในแต่ละด้านได้ว่าประสบความสำเร็จและมี ต้นทุนค่าใช้จ่ายคุ้มค่าหรือไม่?
หน่วยราชการด้วยกันหรือแม้กระทั่งสื่อและโพลสำนักต่างๆ ก็ล้วนเกรงใจ รวมทั้ง “ไม่กล้า” ที่จะพูด เขียน หรือรายงานข้อมูลปัญหารวมทั้งทำการสำรวจวิจัยอย่างตรงไปตรงมา
“สภาแต่งตั้งจากคณะยึดอำนาจ” ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในการตรวจสอบเรียกให้หน่วยงานรัฐมาชี้แจงหรือตั้งกระทู้ถามความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องต่างๆ ขอคำตอบหรือคำอธิบายจากผู้รับผิดชอบให้กระจ่างอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจตามกลไกระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ปัญหา กดดันให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบเกิดความ ละอาย “ประกาศลาออก” หรือ ส.ส.ช่วยกันยกมือไล่ให้พ้นจากตำแหน่งไป
ผู้มีอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทุกยุคสมัย จึงได้แต่ “พูดเองเออเอง” ว่า การทำงานในเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ผลดี มีปัญหาอะไรก็ได้จัดการแก้ไขให้ประชาชนจนหมดสิ้น เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด?
และถ้าทุกยุคสมัยไม่มีอำนาจพิเศษไว้ออกคำสั่ง ทำให้เรื่องที่มีปัญหาไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นถูกกฎหมาย ไม่ต้องมีใครรับผิดชอบทั้งอาญาแพ่งหรือทางปกครอง ฟ้องร้องอะไรไม่ได้ด้วยแล้ว
การบริหารราชการแผ่นดินจะเป็นไปอย่างสะดวกและง่ายดายเช่นนี้หรือไม่?
ในประวัติศาสตร์ ทุกอำนาจที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลจากหลายฝ่ายตามระบบกฎหมายนั้น เป็นอันตรายต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและความเป็น “นิติรัฐ” หรือรัฐประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
ระบอบประชาธิปไตยจึงดีกว่าเผด็จการ ก็เพราะมีระบบการตรวจสอบที่ประชาชนสามารถทำได้หลายช่องทางนั่นเอง
เรื่องหนึ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีพูดอยู่เสมอก็คือ จะทำอย่างไรให้คนไทยเคารพกฎหมาย และรัฐก็สามารถบังคับใช้ได้อย่างเคร่งครัดจริงจังเพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความยุติธรรม
เป็นสิ่งแรกที่คนไทยเองรวมทั้งชาวต่างประเทศที่มาอยู่เมืองไทยก็ได้บ่นและอยากเห็นเช่นเดียวกัน
การพูดกันแต่ว่า “ได้สั่งหรือกำชับการปฏิบัติ” ต่อผู้รับผิดชอบไปแล้วอย่างนั้นอย่างนี้
สำหรับองค์กรที่มีโครงสร้างและระบบงานที่มีปัญหาเช่นตำรวจจึงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อย่างแท้จริงเลย
งานรักษากฎหมายของประเทศจึงต้องได้รับการปฏิรูปทั้งระบบ ทั้งตำรวจ “แบบมียศ” และ “ไม่มียศ” ซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่แล้วแทบทุกกระทรวงทบวงกรม
เช่น คุณวิเชียร ชิณวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรที่จับกุมเจ้าสัวหมื่นล้านจนได้รับรางวัลยกย่องจากต่างประเทศนั้น
ตามกฎหมายก็ ถือเป็นตำรวจเฉพาะด้าน ที่ไม่มียศแบบทหารคนหนึ่ง ทำหน้าที่คุ้มครองป่าไม้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศในเขตรับผิดชอบ แต่ที่ขาดอยู่ก็คือ อำนาจสอบสวนดำเนินคดีเหมือนที่ทั่วโลกเขามีกันเท่านั้น
ตำรวจทั้งสองแบบคือมียศและไม่มียศ ต้องได้รับการเปรียบเทียบว่า อย่างไหนจะสามารถรักษากฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดคุ้มค่ามากกว่ากัน?
และประเทศที่เจริญทั่วโลก เขาจัดระบบงานรักษากฎหมาย ด้วยการกระจายหน่วยตำรวจและอำนาจสอบสวนไปหลายหน่วยงานที่มีความจำเป็นและสามารถทำได้ด้วยกันทั้งสิ้น
โดยมีอัยการเป็นองค์กรตรวจสอบควบคุมอีกชั้นหนึ่งสำหรับการสอบสวน คดีสำคัญ หรือ เมื่อมีการร้องเรียนเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยใด
มีประเทศใดหรือไม่ที่ทั้งตำรวจและงานสอบสวน ถูกผูกขาดและ รวมศูนย์อำนาจ ไว้เพียงองค์กรเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหามากมาย มีแม้กระทั่งข่าวเรื่องการซื้อขายตำแหน่งหัวหน้าพนักงานสอบสวนเหมือนประเทศไทย?
อย่างปัญหา ป้าพลังขวาน ที่ปฐมเหตุเกิดจากจัดตลาดนัดผิดกฎหมาย ทำให้มีการจอดรถขวางหน้าบ้าน ป้าบอกว่า ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจศูนย์วิทยุ 191 “รออยู่กว่าครึ่งชั่วโมง” ก็ไม่เห็นมา!
ถ้าเป็นประเทศที่เจริญ เรื่องนี้ต้องถูกตรวจสอบด้วยว่า เป็นเพราะเหตุใด ใครเป็นผู้รับผิดชอบทั้งระดับปฏิบัติการและผู้บริหาร?
รวมทั้งเหตุการณ์ ขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า ชนนักเรียนคนหนึ่งจนบาดเจ็บเป็นข่าวนั้น
ก็ล้วนเกิดปัญหาระบบงานรักษากฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะยับยั้ง หรือป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดที่เกิดขึ้นทั่วประเทศมากมายได้
ทุกหน่วยงานที่พบผู้กระทำผิด หากไม่ยอมให้ปรับ ก็ต้องใช้วิธีทำหนังสือให้เจ้าหน้าที่ถือไปกล่าวโทษต่อหัวหน้าสถานีตำรวจให้สอบสวน ออกหมายเรียกมาแจ้งข้อหา หรือหากไม่มาก็เสนอศาลออกหมายจับตัวมาดำเนินคดีด้วยกันทั้งสิ้น
การกระทำผิดกฎหมายในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครจำนวน 26 ฉบับ เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคารและสิ่งก่อสร้าง พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองและอีกมากมาย ที่มีการละเมิดเกิดขึ้นปีละหลายพันหรืออาจนับหมื่นเรื่อง
จึงเป็นไปอย่างล่าช้า มีคดีค้างคาอยู่ตามสถานีตำรวจต่างๆ 88 สถานีอยู่นับไม่ถ้วน เนื่องจากพนักงานสอบสวนตำรวจมีปัญหาทั้งเรื่องขาดขวัญกำลังใจ และไม่มีความรู้ความชำนาญในกฎหมายเฉพาะด้าน
และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ตำรวจส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นพนักงานสอบสวน!
แต่ละคนพยายามวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพื่อแย่งกันไปทำงานสืบสวนซึ่งถือว่าสบายและหาเงินได้มากกว่า หรือโบกรถราจัดการจราจรแทน?
ต่อปัญหาการดำเนินคดีของกรุงเทพมหานครนี้ อันที่จริงได้มี พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 มาตรา 90 นอกจากจะได้บัญญัติให้ข้าราชการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่มีในความรับผิดชอบ 26 ฉบับแล้ว
ก็ยังให้มีฐานะเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สามารถดำเนินการสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการฟ้องศาลได้เอง
ทุก 50 เขต ก็มีความพร้อมทั้งเรื่องอาคารสถานที่และบุคลากรผู้มีคุณวุฒิทางกฎหมาย สามารถดำเนินการสอบสวนได้ทันที
แต่ปัจจุบัน การใช้อำนาจนี้กลับมีปัญหา เพราะอัยการที่รับสำนวนจากกรุงเทพมหานครครั้งแรกเมื่อ 28 ปีที่แล้วบอกว่า กระทรวงมหาดไทยยังไม่ได้ออกกฎกระทรวงรองรับการใช้อำนาจสอบสวนดังกล่าว
เป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่? และถ้าไม่มี จะทำให้การสอบสวนคดีต่างๆ ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นนั้นหรือ? แล้วการปรับ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจสอบสวนหรืออย่างไร ทำไมกรุงเทพมหานครจึงเปรียบเทียบปรับได้?
เรื่องนี้มีทางออกสองทางคือ ในคดีที่ผู้ต้องหาปฏิเสธ หัวหน้าเขตต่างๆ ควรสั่งให้ฝ่ายเทศกิจต่างๆ ดำเนินการสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการสั่งคดีอีกครั้ง โดยยืนยันว่าเป็นการใช้อำนาจที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายอย่างชัดเจน
หรือไม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ “สั่งให้กรุงเทพมหานคร” เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดวิธีปฏิบัติมาให้ลงนามโดยเร็ว.